วันนี้ (26 พ.ค.2563) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การขึ้นบัญชีดำบริษัทและสถานศึกษาของจีนไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง เป็นชนวนใหญ่ที่ทำให้เกิดวิวาทะตอบโต้กันของทั้ง 2 ประเทศ ความไม่ลงรอยระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอาจนำไปสู่สงครามเย็นครั้งใหม่ เป็นการส่งสัญญาณตรงมาจาก หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน
หลายปัจจัยกระทบความสัมพันธ์ 2 ประเทศ
ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศลุ่มๆ ดอนๆ จากหลายปัจจัยตั้งแต่โควิด-19 จนถึงการผลักดันกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง แต่ชนวนความไม่พอใจคงหนีไม่พ้นกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำบริษัทและมหาวิทยาลัยของจีน 33 แห่ง เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
กลุ่มแรก มีบริษัทและสถาบันการศึกษา 24 แห่ง ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพจีนและสนับสนุนการจัดซื้ออาวุธให้แก่กองทัพจีน ส่วนกลุ่มที่ 2 มีบริษัทและสถาบันการศึกษา 9 แห่ง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยเกอร์ในเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์ เริ่มตั้งแต่การปราบปราม การกักขังโดยพลการ การบังคับใช้แรงงาน ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงคอยสอดแนมชีวิตความเป็นอยู่
สหรัฐฯ ต้องมีหลักฐานมาหักล้างข้อกล่าวหา
เป้าหมายของการขึ้นบัญชีดำ คือการจำกัดการเข้าถึงสินค้าสัญชาติอเมริกัน รวมถึงสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศด้วยเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยบริษัทสัญชาติอเมริกันสามารถยื่นขอใบอนุญาต เพื่อขายสินค้าให้กับบริษัทที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน เพื่อมาหักล้างกับข้อกล่าวหาทั้งหมด
จีนร้องสหรัฐฯ ยุติแทรกแซงกิจการภายใน
รัฐมนตรีต่างประเทศจีนแสดงจุดยืนต่อต้านการกระทำของสหรัฐฯ เนื่องจากจีนมองว่ามาตรการของจีนที่ใช้ในซินเจียงอุยกูร์นั้นเป็นมาตรการที่ใช้ต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการแทรกแซงกิจการภายในของจีนโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นจีนจะเดินหน้าใช้มาตรการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์เป็นการตอบโต้ ยิ่งนักการเมืองสหรัฐฯ วิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของจีนในการผลักดันกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกงมากขึ้นเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งทำให้จีนไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น
จับตาความเคลื่อนไหวจีน หลังประชุมสภาฯ
สิ่งที่ต้องจับตามองต่อไป คือความเคลื่อนไหวของจีนหลังการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ค.นี้ ว่าจะมีความเคลื่อนไหว หรือผลสรุปอะไรออกมาบ้าง เนื่องจากหนังสือพิมพ์โกลบอล ไทมส์ ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่า จีนเตรียมตอบโต้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันในเร็ววันนี้ และการตอบโต้กันไปมาแบบนี้ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงรอยร้าวระหว่าง 2 ประเทศชัดเจนมากขึ้น