เป็นไปตามคาดกับการลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของ กลุ่ม“ 4 กุมาร”ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อดีตรองหัวหน้าพรรค และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
หลังจากที่ทั้ง 4 คนไม่มีรายชื่อร่วมเป็นกรรมการบริการพรรคชุดใหม่ และพรรคมีมติท่วมท้นเลือกพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ซึ่งกลุ่ม 4 กุมารเองก็รู้อยู่แก่ใจกับสถานะล่องลอยในพรรค ทุกอย่างนับถอยหลังเหลือเพียงรอวันเวลาที่จะออกมาประกาศอย่างชัดเจน
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มีการประกาศลาออกอย่างเป็นทางการวันนี้
รายงานข่าวจาก พปชร. บอกว่า "กลุ่ม 4 กุมาร ที่ผ่านมา ไม่มีความสำคัญ ไม่มีบทบาทอะไรในพรรค อยู่ ก็เหมือนไม่อยู่ "
สอดคล้องกับ คำพูดหัวหน้าพรรค พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ไม่ต้องการ "ยื้อ" การลาออกของกลุ่ม 4 กุมาร โดยให้เหตุผลที่ว่า เคารพการตัดสินใจ "ใครยังอยู่ก็อยู่ เพราะทุกคนก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร"
ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการปิดฉากสายสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่ม 4 กุมาร กับ พปชร. และที่สำคัญไม่ได้อยู่ในสถานะที่สมาชิก
พปชร.จะมาขับไล่กันรายวันกันอีกต่อไป
หากจะบอกนี่เป็นการแก้เกมกับพวก พปชร.จ้องแซะให้ลุกจากเก้าอี้รัฐมนตรีคงไม่ผิดนัก
และสิ่งนี้ก็ตรงกับที่นายกฯ พูดมาตลอดว่าเรื่องปรับ ครม.ที่เป็นอำนาจของนายกฯ กับปัญหาภายในพรรรคที่เป็นเรื่องของพรรค
และยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อทั้งหมดจะเหลือเพียงสถานะโควต้ากลางของนายกฯ ที่จะนำมาใช้ในการปรับครม.
แรงกดดันจึงเหวี่ยงกลับมาที่นายกฯ ว่าจะตัดสินใจปรับ ครม. เมื่อไร
ดังนั้นขณะนี้ปัญหาในพรรคของกลุ่ม 4 กุมารจบแล้ว เหลือเพียงการปรับ ครม. ที่ขึ้นอยู่กับนายกฯ
แต่จะอยู่ครบ(กลุ่ม) หรือไม่ หรือจะ อีกนานแค่ไหน (ที่จะปรับ) อยู่ที่นายกฯคนเดียว