วันนี้ (11 ก.ย.2563) เว็บไซต์ บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดทเต็ด ลิมิเต็ด เผยแพร่หนังสือที่ลงนามโดยนายรอส สมิธ-เคิร์ก (Ross Smyth-Kirk) ประธานบริหารบริษัท ระบุว่า บริษัท คิงส์เกต มีความยินดีจะแจ้งให้ทราบว่า บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือคิงส์เกต ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลไทยให้จำหน่ายสินแร่ทองคำและแร่เงินมูลค่าสูง ซึ่งได้รับการดูแลรักษาภายใต้เหมืองทองคำชาตรีไปยังโรงแต่งแร่ของไทย เพื่อแปรรูปเป็นทองคำและเงินชั้นดี หลังมีการปิดเหมืองทองคำชาตรี เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2559 โดยสินแร่เหล่านี้ถือเป็นสมบัติของบริษัท อัครา รีซอร์สเซสฯ มาโดยตลอด
สินแร่ดังกล่าว ประกอบด้วยทองคำ 4,750 ออนซ์และเงิน 34,800 ออนซ์ มูลค่า 14 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือกว่า 318 ล้านบาท โดยบริษัท อัครา รีซอร์สเซส ได้ตกลงเงื่อนไขกับโรงแต่งแร่ของไทย ในการดำเนินการกับสินแร่ตามกฎหมายใหม่ ที่กำหนดให้ทองคำที่ขุดในประเทศไทยต้องสกัดในประเทศไทย และเริ่มส่งสินแร่ไปยังโรงแต่งแร่แล้ว
ขณะที่การเคลื่อนไหวพ้นกำหนดมานานแล้ว คิงส์เกตเห็นว่าแม้เป็นก้าวเล็กๆ แต่ก็เป็นไปในทางที่ดี และดูเหมือนเป็นการกระทำด้วยเจตนาดี สะท้อนให้เห็นถึงความเต็มใจของรัฐบาลไทยที่จะจัดการเจรจา เพื่อแก้ปัญหาระหว่างทั้งสองฝ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อพิพาทระหว่างบริษัท คิงส์เกต และรัฐบาลไทยนั้น เกิดขึ้นหลังจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ระงับการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2560 หลังจากนั้น บริษัท คิงส์เกต ได้ทำหนังสือแจ้งรัฐบาลไทยขอใช้สิทธิหารือภายใต้เอฟทีเอไทย-ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2560 และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาทั้งสองฝ่ายเพื่อหาทางออก ก่อนที่เรื่องจะเข้าสู่การพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการ