วันนี้ (23 ก.ย.63) รัฐสภาพิจารณา 6 ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ประชาชนจับตาการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เพราะส่งผลกับความเป็นอยู่และอนาคตของประชาชน เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสืบทอดอำนาจของ คสช. แต่ยังฉุดไทยกลับไปสู่อดีตและกดทับอำนาจประชาชน
ทั้งนี้รัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจ ส.ว.แต่งตั้งเลือกนายกฯ คือรัฐธรรมนูญ ปี 2521 ซึ่งเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่กำหนดให้ ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งผ่านมาแล้ว 40 ปี นอกจากนี้ยังไม่ได้กำหนดให้ นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. เท่ากับเปิดทางให้มีนายกฯ คนนอกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ขณะที่การรัฐประหาร ปี 2557 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ เขียนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไว้ในรัฐธรรมนูญ เท่ากับเป็นรัฐธรรมนูญจากคณะรัฐประหาร อีกทั้งยังมี ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกฯ ดังนั้นรัฐธรรมนูญปี 2560 จึงไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญ ปี 2521
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ควรออกแบบให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและไม่จำกัดความฝันของประชาชน
สำหรับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรเป็นตัวแทนกลุ่มทางสังคมและตัวแทนอุดมการณ์ที่หลากหลาย ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่ใช้ ส.ส.ร. เป็นกลไกสืบทอดอำนาจ
ดังนั้นการห้ามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 1-2 จะไม่ช่วยให้ข้อเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่าง เพราะข้อเสนอเหล่านี้จะไม่ถูกพูดถึงอย่างมีเหตุผลและวุฒิภาวะเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.พรรคเสรีรวมไทย เสนอแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 ข้อ คือ 1. ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ 2. ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ตามมาตรา 272 3. แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยนำร่างของประชาชน ที่มีการลงชื่อโดยประชาชนกว่า 1 แสนคน มาพิจารณา และ 4. ยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่
หาก พล.อ.ประยุทธ์ อยากได้รับคำชื่นชมจากประชาชนก็ควรลาออก
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธลาออก มีบุคคลที่เหมาะรักษาการเพียง 3 รายชื่อ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เท่านั้น (3 รายชื่อที่อยู่ในบัญชีนายกฯ) จากนั้นให้มีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนจะยุบสภาฯ แล้วเลือกตั้งใหม่