วันนี้ (6 พ.ย.2563) ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มนักเรียนเลว และแนวร่วมองค์กรนักเรียน นำโดยนายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ แกนนำกลุ่มนักเรียนเลวร่วมกันอ่านแถลงการณ์นัดชุมนุมใหญ่ วันที่ 21 พ.ย.นี้ โดยยังไม่เปิดเผยสถานที่และเวลา เพื่อยกระดับข้อเรียกร้องให้เสียงของนักเรียนไปถึงรัฐบาล หลังจากเคยประกาศเรียกร้องให้ นายณัฎพล ทีปสุวรรณ ยังไม่ลาออกจากรัฐมนตรี และเห็นว่าปัญหาการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ที่มีต่อตัวนักเรียนและจะยกระดับประเด็นการชุมนุมที่ไม่ได้มีแค่การปฏิรูปการศึกษา
นอกจากนี้ยังเห็นว่าคณะกรรมการที่กระทรวงศึกษาธิการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน 3-4 คณะ ไม่ได้จริงใจรับฟังข้อเสนอของกลุ่มนักเรียนเลว จึงไม่ได้เข้าร่วม ส่วนคณะกรรมการสมานฉันท์ของรัฐบาลเห็นว่าเชิญแต่กลุ่มนิสิต นักศึกษา ไม่มีโรงเรียนระดับมัธยมจึงไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ซึ่งหากเชิญมาก็จะขอพิจารณาประเด็นก่อน
สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนเลวเริ่มออกมาจัดกิจกรรมครั้งแรกที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยชวนนักเรียนทวงคืนสิทธิ์คืน ด้วยจุดยืน 3 ข้อ คือ คุณครูต้องไม่ทารุณกรรมนักเรียน กฎระเบียบต้องไม่ละเมิดสิทธินักเรียน และนักเรียนต้องแสดงความคิดเห็นได้อย่างมีเสรีภาพ
และต่อมาจัดได้จัดกิจกรรมอีก 3 ครั้ง รวมถึงยกระดับการชุมนุมใหญ่ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. มีโรงเรียนต่าง ๆ รวมตัวกันกว่า 50 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยยังคง 3 ข้อเรียกร้อง คือ 1. หยุดคุกคามนักเรียน โดยกระทรวงศึกษาธิการต้องปกป้องนักเรียนจากการถูกคุกคามทั้งจากหน่วยงานภายในและภายนอกกระทรวง 2.การยกเลิกกฎระเบียบล้าหลังโดยเฉพาะที่มีเนื้อหากดขี่นักเรียน ละเมิดสิทธิมนุษยชน และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ในตัวนักเรียน 3.ปฏิรูปการศึกษา เพื่อขจัดปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อตัวผู้เรียน เช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการเข้าไม่ถึงการศึกษา ปัญหาหลักสูตรที่ไม่มีคุณภาพ ปัญหาภาระงานครู ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของครู เป็นต้น โดยต้องให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการด้วย
เพิ่มเติมอีก 1 เงื่อนไข หากทำไม่ได้ก็ให้นายณัฐพล ลาออกจาก รมว.ศึกษาธิการ และเป็นอีกครั้งที่นายณัฏฐพลพบกับกลุ่มนักเรียน โดยชี้แจงว่าขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา 109 โรงเรียน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในทันที ซึ่งประเด็นการคุกคามนักเรียนอยู่ในระหว่างการแก้ไขปัญหา เพราะ มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และหลายเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่นายณัฏฐพลจะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาจึงขอเวลาในการจัดการ