วันนี้ (1 ม.ค.2564) เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรมและพร เนื่องในอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564 ความว่า
“บัดนี้ บรรลุถึงอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564 แล้ว ในเทศกาลเช่นนี้ของทุกปี ผู้คนต่างตั้งความหวังว่าชีวิตในปีใหม่ จะดีกว่าปีเก่า ครั้นทบทวนวันเวลาในรอบปีที่ล่วงผ่าน เราทั้งหลายย่อมเห็นประจักษ์ว่า สถานการณ์ต่าง ๆ อันก่อให้เกิดความทุกข์ยาก ได้ถาโถมหลั่งไหลเข้ามามากเป็นประวัติการณ์ และยังคงดำเนินอยู่ต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ในวาระเถลิงศก จึงควรที่ทุกคนจะยกจิตใจให้สูงขึ้นด้วยเมตตาธรรม นำกระแสความร่มเย็นแผ่ออกไปสู่สมาชิกในครอบครัว มิตรสหาย เพื่อนร่วมชาติ และร่วมโลกนี้อย่างไม่มีประมาณ เร่งประสานน้ำใจกันอย่างจริงใจ คอยส่งความสุขให้กันและกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ เพื่อให้ทุกคนเกิดขวัญดี มีกำลังกายและจิตใจแกล้วกล้า ที่จะสามารถฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคให้ล่วงพ้นไปได้โดยสวัสดี
ปัญหาและอุปสรรคใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในยามที่ชาติบ้านเมืองกำลังเผชิญภาวะวิกฤต ไม่ว่าจะทางความคิด ความเห็น ความเป็นอยู่ หรือโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าแต่ละคนแต่ละฝ่ายในชาติบ้านเมืองนั้น หนักแน่นมั่นคงใน ‘สามัคคีธรรม’ ต่างหวังดี หวังเจริญต่อส่วนรวมอย่างจริงใจ ก็ย่อมทำให้วิกฤตการณ์นานา สามารถคลี่คลายลงได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ มีข้อพิจารณาอยู่ว่าความสำเร็จประโยชน์แห่งสามัคคีธรรม ย่อมจะบังเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง เมื่อบุคคลแต่ละฝ่ายต่างเจริญ ‘เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม’ ต่อเพื่อนร่วมสังคมซึ่งอาจคิดเห็นแตกต่าง เริ่มตั้งแต่ผู้คนแวดล้อมใกล้ตัวในครอบครัว ในชุมชน ตลอดถึงในประเทศชาติ ขยายวงเรื่อยไปสู่เพื่อนมนุษย์ทุกผู้ทุกนามในโลกนี้
ผู้ปรารถนาความสุขในปีใหม่ จึงพึงสังวรไว้เสมอว่า การแก้ไขปัญหาของสังคมส่วนรวม ควรเริ่มต้นด้วยการปลูกฝังเมล็ดพันธ์ุแห่งความเมตตากรุณาต่อผู้คนทั่วไปอย่างเสมอหน้า ให้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจตนเอง ข่มใจให้ฉ่ำเย็นประดุจสายน้ำ อดทนอดกลั้นหนักแน่นประดุจแผ่นดิน เพื่อเพิ่มพูนขีดความสามารถสำหรับระงับยับยั้งความรู้สึกขุ่นข้องหมองมัว กระทั่งสามารถพลิกผันสถานการณ์แห่งความร้อนรุ่มให้ผ่านพ้นไป ด้วยท่าทีอันเป็นกัลยาณมิตร รู้จักประสานประโยชน์ อนุเคราะห์สงเคราะห์ สงบและสง่างาม แล้วในที่สุด เมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตากรุณานั้น จะค่อย ๆ เติบโตผลิดอกออกผลเป็นความกลมเกลียวสมานฉันท์ แผ่กิ่งก้านสาขาแห่งสันติสุข ปกคลุมถิ่นฐานบ้านเมืองนั้นให้เป็นรมณียสถานได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และคุณความดีที่ทุกท่านได้ร่วมกันสร้างสรรค์ จงดลบันดาลความร่มเย็นแก่ประชาชาติไทย ยังความชุ่มชื่นเบิกบานพระราชหฤทัยแด่ สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้าทั้งสองพระองค์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เพื่อจักได้เสด็จสถิตธำรง ทรงเป็นมิ่งขวัญหลักชัยอยู่ยั่งยืนนาน กับทั้งดลบันดาลพสกนิกรจงภิญโญสโมสรด้วยความสุขเกษมศานต์ ตลอดพุทธศักราช 2564 นี้โดยทั่วกัน เทอญ.”