วันนี้ (1 เม.ย.2564) นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะโฆษก พศ. กล่าวว่า กรณีพระภิกษุ 2 รูป ร่วมชุมนุมทางการเมืองแล้วถูกเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ให้สละสมณเพศไปแล้ว และมีข่าวสังคมออนไลน์พระที่ถูกจับสึก กลับมาห่มจีวรอีกครั้ง โดยอ้างว่าไม่ได้เปล่งวาจายังคงเป็นสงฆ์อยู่
สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่าประเด็นดังกล่าว หากไม่นําเสนอความจริงต่อสังคมอาจทําให้เป็นกระแสกระทบต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาได้ จึงขอยกเอาแนวทางและหลักการ กรณีพระภิกษุพ้นจากความเป็นสงฆ์ โดยไม่ได้เปล่งวาจามาบอกกล่าวในข้อเท็จจริง ดังนี้ พระภิกษุรูปนั้นพ้นจากความเป็นสงฆ์ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ในกรณีพระภิกษุรูปใดไม่สังกัดอยู่ ในวัดใดวัดหนึ่งหรือไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้พระภิกษุผู้ดํารงตําแหน่งปกครองวัด หรือพระภิกษุผู้ดํารงตําแหน่งปกครองสงฆ์ในเขตท้องที่ที่พบพระภิกษุรูปนั้น มีอํานาจหน้าที่วินิจฉัย ให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ตามที่กล่าวข้างต้น
ปรากฏมีพระภิกษุมาร่วมชุมนุมทางการเมือง 2 รูป ถูกเจ้าคณะผู้ปกครอง ให้สละสมณเพศ คือ พระประนมกร พุทฺธิเชฏฺโฐ สังกัดวัดเลียบ จ.สุรินทร์ หรือนายประนมกร ปราณีต และพระวิรัช กิตฺติญาโณ สังกัดวัดราษฎร์รังสรรค์ จ.กระบี่ หรือนายวิรัช แซ่คู พ้นจากความเป็นพระภิกษุเหตุไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ และได้บันทึกสารภาพยอมรับผิด สมัครใจที่จะลาสิกขา
โดยมีพยานประกอบด้วยเจ้าคณะแขวงดุสิต เจ้าคณะแขวงถนนนครไชยศรี พระวินยาธิการ เจ้าหน้าที่ตํารวจ และเจ้าหน้าที่สํานักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ และได้บันทึกไว้ในหนังสือสุทธิว่า “ได้ลาสิกขาโดยสมัครใจ เพราะ ต้นสังกัดเดิมไม่รับรอง”
ดังนั้น การที่นายประนมกร ปราณีต และนายวิรัช แซ่คู เอาผ้าเหลืองมาห่มแล้วอ้างว่า ยังเป็นสงฆ์อยู่ เพราะไม่เปล่งวาจาสึก ถือว่าเป็นการแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ผิดตามประมวล กฎหมายอาญา ลักษณะ 4 ความผิดเกี่ยวกับศาสนา มาตรา 208 มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
"พระไทย" ในชุมนุมกับสถานะ "นักบวช-พลเมือง"