สธ.เปิดไทม์ไลน์กระจาย "วัคซีนไฟเซอร์" คาดเริ่มฉีดวันแรก 9 ส.ค.นี้

สังคม
30 ก.ค. 64
14:56
1,286
Logo Thai PBS
สธ.เปิดไทม์ไลน์กระจาย "วัคซีนไฟเซอร์" คาดเริ่มฉีดวันแรก 9 ส.ค.นี้
อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดไทม์ไลน์การตรวจสอบคุณภาพและกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ที่ได้รับบริจาคจากสหรัฐฯ คาดเริ่มฉีดวันแรก 9 ส.ค.นี้ และจะฉีดทั้งหมดแล้วเสร็จภายในปลายเดือน ส.ค.

วันนี้ (30 ก.ค.2564) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า วันนี้วัคซีนไฟเซอร์ถึงประเทศไทยแล้ว 1.5 ล้านโดส โดยขณะนี้เก็บรักษาที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส แล้วจะนำตัวอย่างวัคซีนไปตรวจสอบคุณภาพด้านความปลอดภัยที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คาดว่าวันที่ 2 ก.ค.นี้ จะได้รับผลตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย

ต่อมาจะให้บริษัทจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ และแพ็กวัคซีนเพื่อจัดส่งในวันที่ 3 -4 ส.ค.2564 และในวันที่ 5-6 ส.ค.2564 จัดส่งวัคซีนล็อตแรก เข็ม 3 กระตุ้นสำหรับบุคลากรการแพทย์และเข็ม 1 สำหรับกลุ่มเสี่ยงถึงหน่วยบริการ


จากนั้นโรงพยาบาลต้องเตรียมความพร้อมการฉีดวัคซีน ต้องซักซ้อมนัดหมายคนมาฉีด เนื่องจาก 1 ขวด ต้องฉีด 6 โดส จึงจำเป็นต้องควบคุมเวลาให้ดี เมื่อนำออกมาจากตู้เย็นแล้วจะอยู่ได้ไม่นาน จึงต้องแม่นยำ เพื่อไม่ให้วัคซีนเสียหาย

ทั้งนี้ หน่วยบริการจะเริ่มเปิดฉีดวัคซีนประมาณวันที่ 9 ส.ค.2564 และกระทรวงสาธารณสุขจะจัดส่งวัคซีนเข็ม 2 ประมาณกลางเดือน ส.ค.2564 ซึ่งคาดว่าจะฉีดได้ครบถ้วน 1.5 ล้านโดส ปลายเดือน ส.ค.นี้

 

วัคซีนไฟเซอร์ผสมน้ำเกลือ 1 ขวด ฉีดได้ 6 คน

นพ.โอภาส ระบุอีกว่า วัคซีนไฟเซอร์เป็นวัคซีนเข้มข้นดังนั้นจึงต้องผสมน้ำเกลือก่อน โดย 1 ขวด ผสมได้ 2.25 มล. ฉีดได้ขวดละ 6 โดส ในปริมาณโดสละ 0.3 มล.เข้าชั้นกล้ามเนื้อ โดยการฉีด 2 เข็ม ต้องห่างกัน 3 สัปดาห์

การเก็บรักษาวัคซีนไฟเซอร์ ต้องเก็บในอุณหภูมิ -90 ถึง - 60 องศาเซลเซียสจะอยู่ได้ 6 เดือน หากเก็บในอุณหภูมิ 2 - 8 องศาเซลเซียสจะอยู่ได้ 1 เดือน

วัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ฉีดให้ใครบ้าง ?

นพ.โอภาส ระบุอีกว่า ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ กลุ่มแรกบุคลากรการแพทย์ดูแลผู้ป่วย COVID-19 ทั่วประเทศ 700,000 โดส ซึ่งเป็นเข็ม 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยผู้ที่จะได้รับมาจากการสำรวจรายชื่อจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะกระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาลกลุ่มเป้าหมายต่อไป

เรามีข้อมูลขณะนี้ว่า บุคลากรสาธารณสุขไม่น้อยติดเชื้อ COVID-19 ทำให้การดูแลผู้ป่วยลดประสิทธิภาพลง ฉะนั้นการฉีดเข็ม 3 จะช่วยให้บุคลากรการแพทย์มีภูมิคุ้มกันมากขึ้น เพื่อให้การดูแลประชาชนมีความมั่นคงมากขึ้น

กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง อายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ใน 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน 645,000 โดส

กลุ่มที่ 3 ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุ และ มีโรคเรื้อรัง รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป และผู้จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน, นักศึกษาที่จำเป็นต้องไปศึกษาต่างประเทศ จำนวน 150,000 โดส

กลุ่มที่ 4 ทำการศึกษาวิจัย โดยอนุมัติของ คณะกรรมการวิจัยจริยธรรม จำนวน 5,000 โดส เพื่อนำผลวิจัยมาใช้ในการวางแผนและดำเนินการเพื่อประชาชนต่อไป

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง