ดูซีรีส์เป็นอาชีพ วันนี้ชวนมารู้จักกับซีรีส์ "From Five To Nine เมื่อคุณพระมาตกหลุมรักฉัน" ที่ได้นักแสดงชื่อดังมากความสามารถอย่าง "ยามะพี" และ "ซาโตมิ" มาถ่ายทอดเรื่องราวของ "พระญี่ปุ่น" ให้ได้ชมกัน แค่อ่านจากชื่อเรื่องก็อาจทำให้บางคนเริ่มรู้สึก "เอ๊ะ!" จนต้องย้อนกลับไปอ่านอีกรอบ เพื่อความมั่นใจว่า ซีรีส์อะไร พระจะมาตกหลุมรักคนธรรมดา?
ชื่อเรื่องก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นซีรีส์โรแมนติก-คอมเมดี้ของญี่ปุ่น แต่สิ่งที่มากกว่าเรื่องราวความรักของพระ-นาง คือการทำให้คนดูได้รู้จักกับชีวิตของพระญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น
ลูกชายคนโตของเจ้าอาวาส กลายเป็นข้อผูกมัดให้ "ทากาเนะ โฮชิกาวะ" (ยามะพี) ต้องเติบโตมาท่ามกลางการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เพื่อสืบทอดกิจการวัดอิกเคียวในตำแหน่งเจ้าอาวาส
ตั้งแต่เด็กทากาเนะต้องฝึกอ่านคัมภีร์ทางศาสนาพุทธ สวดมนต์ ประกอบพิธีกรรมทั้งในและนอกวัดไปจนถึงเรียนรู้มารยาททางสังคม และธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด
เมื่อถึงวัยสมควร หน้าที่สำคัญของทากาเนะไม่ใช่การครองตนอย่างเคร่งครัดเหมือนพระที่เราคุ้นเคย แต่กลับเป็นภารกิจแต่งงานกับสะใภ้ที่จะมาเป็นนายหญิงคนใหม่แห่งวัดอิกเคียว โดย ทากาเนะ มีโอกาสได้นัดดูตัวกับ "ซากุราบะ จุนโกะ" (ซาโตมิ) ครูสอนภาษาอังกฤษสาวสวยวัย 29 ปี ที่มีความฝันอยากไปทำงานที่สหรัฐฯ
เรื่องราวแม่สามี ลูกสะใภ้จึงเกิดขึ้นกับภารกิจค้นหาลูกสะใภ้ที่เหมาะสมจะดูแลวัด และต้อนรับพุทธศาสนิกชน ระหว่างความสัมพันธ์ของพระ-นางที่ค่อย ๆ เรียนรู้กันและกัน ทำให้คนดูเองได้รู้จักชีวิตเบื้องลึกของพระญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีกขั้น ทั้งพระญี่ปุ่นขับรถหรูได้ เรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดัง มีเครื่องบินส่วนตัว เหมาร้านเสื้อผ้าทั้งร้าน นั่งเรียนพิเศษภาษาอังกฤษร่วมกันกับคนธรรมดา กินมื้อเย็นได้ แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงได้ ไปจนถึงฉากเลิฟซีนที่มีให้ลุ้นกันหลายช็อต
ย้อนประวัติศาสตร์ทำไมพระญี่ปุ่นถึงแต่งงานได้ ?
ด้วยตัวซีรีส์ที่อ้างอิงมาจากมังงะ หรือการ์ตูนญี่ปุ่น อาจมีบางเรื่องราวที่เกินจริงไปบ้าง แต่ด้วยข้อสงสัยสำคัญว่า "พระญี่ปุ่น" แต่งงานได้จริงหรือ ไทยพีบีเอสออนไลน์ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นยุคกลาง เกิดนิกายโจโดชินขึ้น โดยผู้ก่อตั้งนิกายได้ละทิ้งวินัยทั้งของมหายานและหีนยานอย่างสิ้นเชิง ซึ่งท่านคิดว่าเป็นเรื่องของพระภิกษุในสมัยอดีต จากนั้นก็ได้แต่งงานมีครอบครัว โดยคิดว่าเพื่อปรับตัวให้เข้ากับชาวบ้านแล้วจะได้ช่วยพวกเขาให้เข้าถึงความหลุดพ้น
ในช่วงสิ้นสุดยุคเอโดะ เป็นจุดสิ่งสุดของการปกครองในระบอบโชกุนที่มีมาอย่างยาวนานของญี่ปุ่น โดยในยุคนี้เกิดลัทธิชาตินิยมแบบชินโตขึ้น นำไปสู่การกวาดล้างพระพุทธศาสนา ทั้งเผาทำลายพระพุทธรูป คัมภีร์ ศิลปกรรมต่าง ๆ เพื่อชำระศาสนาชินโตให้บริสุทธิ์จากอิทธิพลของพระพุทธศาสนา
ไม่เพียงเท่านั้นกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลยุคเมจิ พระสงฆ์ถูกบังคับให้ลาสิกขาไปใช้ชีวิตเป็นฆราวาส ทำให้พระพุทธศาสนาหมดสิ้นบทบาททางสังคมและการเมือง ขณะเดียวกันศาสนาชินโตได้กลายเป็นศาสนาแห่งรัฐหรือศาสนาทางการเมืองที่แสดงความเป็นชาติญี่ปุ่น
ยุคปฏิรูปสมัยเมจิสิ้นสุดลงพร้อมกับการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่น แต่การปฏิรูปในยุคเมจิมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพระพุทธศาสนาในยุคต่อมาอย่างมาก
ที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ การแต่งงานมีครอบครัวของพระสงฆ์ เนื่องจากพระพุทธศาสนาถูกกวาดล้างและขาดการส่งเสริมสนับสนุน พระสงฆ์จึงตกอยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับให้หารายได้มาเลี้ยงชีพและเพื่อรักษาวัดวาอารามของตนให้อยู่รอด ทำให้เกิดความย่อหย่อนในพระธรรมวินัย
นอกจากนั้น ในยุคเมจิรัฐบาลยังได้ออกกฎหมายอนุญาตให้พระสงฆ์ทุกนิกายสามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ ปัจจุบันนี้พระสงฆ์ที่แต่งงานมีครอบครัวมีอยู่ในเกือบทุกนิกายของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ยกเว้นพระภิกษุหนุ่มที่ก้าลังอยู่ในขั้นฝึกหัดพัฒนาตัวเอง
โคโดะ นิชิมูระ : พระจริงนอกซีรีส์กับอาชีพช่างแต่งหน้า
ไม่ใช่แค่พระแต่งงานได้เท่านั้น แต่พระญี่ปุ่นยังแต่งหน้าได้ด้วย "โคโดะ นิชิมูระ" คือ ตัวอย่างอาชีพพระตัวจริงไม่อิงซีรีส์ เขาเติบโตในวัดแห่งหนึ่งในโตเกียวท่ามกลางการเลี้ยงดูจากพ่อซึ่งเป็นพระ พร้อมปิดบังความลับเรื่องเพศของตัวเอง ก่อนจะย้ายไปนิวยอร์กเพื่อเรียนต่อ กระทั่งเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ นิชิมูระ ทลายกำแพงในใจตัวเองออกมา Come Out เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่ม LGBTQ+
วันธรรมดาทั่วไป "นิชิมูระ" จะสวมจีวรพระญี่ปุ่นตามธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อสวดมนต์และช่วยประกอบพิธีกรรมภายในวัด แต่ในวันที่เขาเดินทางไปตามฝันทำงานเป็นช่างแต่งหน้าอิสระให้กับคนดังไปจนถึงผู้เข้าประกวดเวที Miss Universe การแต่งกายด้วยชุดจัดเต็ม รองเท้าส้นสูง พร้อมกับการแต่งหน้าด้วยขนตาปลอมกลายเป็นเอกลักษณ์และสร้างจุดเด่นให้ผู้คนติดตามผ่านอินสตาแกรมแล้วกว่า 66,000 คน
พระญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพนอกเหนือจากหน้าที่ทางศาสนา และเปิดกว้างกับเรื่องเพศในด้านกฎหมาย แต่การเลือกอาชีพของนิชิมูระและงานสนับสนุน LGBTQ+ ของเขาได้กลายเป็นหัวข้อข่าวดังในญี่ปุ่น หนังสืออัตชีวประวัติของเขาถูกขายไปแล้วหลายพันเล่มนับตั้งแต่ตีพิมพ์เมื่อปลายเดือน ก.ค. และอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อแปลไปเป็นภาษาอื่น
นิชิมูระ ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีใหญ่ของสำนักงานสหประชาชาติ และปรากฏตัวในรายการเรียลลิตี้ของ Netflix เรื่อง “Queer Eye” อีกด้วย ซึ่งนิชิมูระ ย้ำอยู่เสมอว่า "คุณสามารถเป็นใครก็ได้ที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานะหรืออาชีพของคุณ" และทุกบทบาทของเขาไม่มีส่วนใดที่ขัดแย้งกัน แต่ทั้งหมดล้วนส่งเสริมกันและกันให้แข็งแกร่งขึ้น
อ้างอิงข้อมูล : พระพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น, AFP, The Japan Times