วันนี้ (29 พ.ย.2564) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan สรุป 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนว่า
ขณะนี้ทั่วโลกให้ความสนใจมากกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน ทั้งนี้เพราะการกลายพันธุ์เฉพาะในส่วนหนามแหลม สามารถเก็บจากการกลายพันธุ์ที่เกิดในสายพันธุ์แอลฟา เบต้า และเดลต้า มาแล้ว ยังเพิ่มตำแหน่งการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นอีก 30 ตำแหน่ง ดังแสดงในรูป อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะต้องตอบคำถามขณะนี้คือ
1.ไวรัสนี้ติดง่ายแพร่กระจายง่ายหรือไม่
จากการดูพันธุกรรมไวรัสนี้ พัฒนาเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดลตา ที่แพร่กระจายง่ายอยู่แล้ว อย่างน้อยการแพร่กระจายของโรค ก็ไม่น่าจะน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา
2.ความรุนแรงของโรคโควิด 19
จากข้อมูลที่ได้มาจากแอฟริกาใต้เบื้องต้น ในหลายครอบครัว พบว่าสายพันธุ์นี้มีอาการไม่มาก ทั้งในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนแล้วและไม่ได้รับวัคซีน โดยธรรมชาติของไวรัสที่แพร่กระจายง่าย ไวรัสเองก็ต้องการมีชีวิตอยู่ยาวนาน หรือแพร่พันธุ์ได้ยาวนาน ในการศึกษาในอดีตสำหรับไวรัสตัวอื่น ที่มีการถ่ายทอดลูกหลานมายาวนาน หรือการเพาะเลี้ยงจากรุ่นต่อรุ่นไปยาวๆ จะพบว่าความรุนแรงจะลดน้อยลง
ในอดีตการทำวัคซีน จึงใช้วิธีการเพราะเลี้ยงไปเรื่อยๆ 30-40 ครั้ง ก็จะได้ไวรัสที่อ่อนฤทธิ์ลง แล้วเอามาทำวัคซีนเช่นการทำวัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อเป็น
ไวรัสตัวนี้ยังใหม่เกินไป ที่จะบอกว่า อาการของโรคลดน้อยลง หรือเพิ่มขึ้น จะต้องดูจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ผลการรักษาอัตราการเสียชีวิต ระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาล เปรียบเทียบกับสายพันธุ์เดิมที่มีอยู่ เช่นสายพันธุ์เดลตา
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจหาพันธุกรรมในการวินิจฉัยที่เรียกว่า RT-PCR ยังใช้ได้ดีอยู่หรือไม่ แต่จากการที่ได้พิจารณาตามรหัสพันธุกรรม อย่างน้อยการตรวจทางห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่จะใช้ N gene อย่างน้อย 1 ยีนส์ ในตำแหน่งของ N gene เป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างคงที่ ไม่มีผลกับการตรวจ แต่อาจจะมีผลต่อการตรวจในยีน RdRp ก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบที่ใช้กันอยู่ที่ห้องปฏิบัติการของศูนย์ ที่ทำอยู่ขณะนี้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบ ตามรหัสพันธุกรรม ก็พบว่ายังสามารถใช้ได้ดี ส่วนของบริษัทต่างๆ ก็คงต้องมีการตรวจสอบโดยเฉพาะในส่วนของยีนอื่นที่ไม่ใช่ N ยีน
ภาพ: เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan
4.การศึกษาตำแหน่งพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงบนหนามแหลม
มีความน่าสนใจมาก ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นสิ่งที่จะต้องศึกษาอย่างยิ่งก็คือจะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดที่ใช้สไปรท์เพียงตัวเดียวลดลงหรือไม่ เช่นไวรัส Vector และ mRNA การตอบสนองต่อ T และ B เซลล์เป็นอย่างไร ต้องมีการศึกษาอย่างเร่งด่วน
5.การเตรียมตัวในการพัฒนา ทั้งวัคซีน และการรักษา
แต่เดิมคิดว่าวัคซีนในเจนเนอเรชั่นที่ 2 จะต้องเป็นสายพันธุ์ Beta แต่ต่อมากลับพบว่าสายพันธุ์เบตาสู้สายพันธุ์ Delta ที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วไม่ได้เลย สายพันธุ์เดลตา หลบหลีกภูมิต้านทานที่ใช้อยู่เดิมที่เป็นสายพันธุ์อู่ฮั่นไม่มาก
วัคซีนที่ใช้อยู่จึงสามารถที่จะใช้ได้กับสายพันธุ์เดลตา วัคซีนไม่มีการคิดที่จะเปลี่ยนสายพันธุ์ แต่ขณะนี้เมื่อเป็นสายพันธุ์โอมิครอน คงต้องรอการศึกษา รวมทั้งประสิทธิภาพของ monoclonal antibodies ที่วางจำหน่ายแล้ว และยาที่วางแผนในการรักษา
อ่านข่าวเพิ่ม เปิดภาพไวรัสโควิด "โอมิครอน" โปรตีนหนามมากกว่าเดลตา
6.การสื่อสารทางด้านสังคม
ขณะนี้มีการตื่นตัวกันอย่างมาก ดังนั้นข้อมูลที่ให้กับประชาชนทั่วไป จะต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส ใช้ความจริง เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าความรู้สึก ในการแพร่กระจายข่าวออกไป ในบางครั้งมีผลกระทบทางจิตใจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะข่าวที่ไม่เป็นความจริง และการ bully ในสังคม ไม่ได้ช่วยอะไรเลยต่อภาพรวม
7.การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ และการถอดรหัสพันธุกรรม
ในภาวะเช่นนี้เราต้องการเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และการทดลองมาตอบคำถามทั้งหมด การถอดรหัสพันธุกรรมจะต้องดำเนินการต่อไปและเพิ่มจำนวนขึ้น ให้ได้เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง สำหรับประเทศไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน เกือบ 2 ปีมีการถอดรหัสพันธุกรรมไปทั้งตัว ประมาณ 6,000 ตัว ถือว่าไม่มากถ้าเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ป่วยถึง 2 ล้านคน
ขณะนี้การถอดรหัสพันธุกรรมหลัก จะอยู่ที่กรมวิทยาศาสตร์ที่ทำได้เป็นจำนวนมาก ในสถาบันโรงเรียนแพทย์เป็นส่วนเสริม
สำหรับที่ศูนย์ จะถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวเพียงเดือนละ 30 ตัว และถอดส่วนของสไปรท์ อีกเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้การพัฒนาการตรวจจำเพาะหาสายพันธุ์ ซึ่งทำได้เร็วมาก ก็ได้พัฒนามาโดยตลอด การตรวจหาสายพันธุ์สามารถทำได้ตั้งแต่ตรวจหาจำเพาะ ตรวจหาตำแหน่งที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรม กับการถอดรหัสทั้งตัว ที่ศูนย์ทำมาตลอดในการเฝ้าระวังในประเทศไทย
8.สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นถ้าหลบหลีกภูมิต้านทาน
ก็จะทำให้ลดประสิทธิภาพของวัคซีนลง แต่ไม่ใช่ว่าวัคซีนจะไม่ได้ประสิทธิภาพเลย เช่นวัคซีนเคยได้ประสิทธิภาพ 90% สายพันธุ์ใหม่อาจจะลดลงมาเหลือ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการฉีดวัคซีนก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องทำ ให้ได้มากที่สุด และทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปควรได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันการป่วยและเสียชีวิต เพราะรู้อยู่แล้วว่า ไวรัสนี้ไม่หมดไปอย่างแน่นอน ถ้าทุกคนมีภูมิต้านทาน ถึงแม้จะเป็นบางส่วนก็จะลดความรุนแรงของโรคลง ลดการป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิต จะทำให้มองดูว่าการติดเชื้อนี้เหมือนกับโรคทางเดินหายใจทั่วไป
9.การเฝ้าระวังด้วยการเดินทาง
ที่ผ่านมาเรารู้อยู่แล้วว่าถ้าเดินทางทางอากาศเรามีมาตรการในการดูแลอย่างดี ในอดีตไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ G หรือสายพันธุ์อังกฤษสายพันธุ์เดลตา เข้าสู่ประเทศไทยด้วยการเดินเข้ามาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเดินมาทางฝั่งตะวันตกหรือฝั่งตะวันออกของประเทศไทย หรืออาจจะว่ายน้ำมาก็ได้ ส่วนใหญ่จะไม่บินมา เพราะเรามีมาตรการที่เข้มงวดอยู่แล้ว
10.ในภาวะที่มีโรคระบาดทุกคนจะต้องช่วยกัน
ทุกคนจะต้องมีระเบียบวินัย เคารพในกฎเกณฑ์กติกาต่างๆ ที่ทางกระทรวงสาธารณสุขวางกฎเกณฑ์ไว้ รวมทั้งปฏิบัติตาม และสุขอนามัยจะต้องเข้มงวดเช่นล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย กำหนดระยะห่างยังคงต้องยึดอย่างเคร่งครัด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
อนามัยโลกตั้งชื่อ "Omicron" โควิดพันธุ์ใหม่น่ากังวลในแอฟริกา
ปิดพรมแดน "อิสราเอล" ห้ามต่างชาติเข้าประเทศสกัด "โอมิครอน"
"อังกฤษ-เยอรมนี-อิตาลี" พบคนติดโควิดสายพันธุ์โอมิครอน