ศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช เปิดผลวิจัยการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน พบว่าหลังฉีดวัคซีน 2 เข็ม ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม ควรกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
วันที่ 16 ม.ค.2565 ศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช เปิดเผยผลการวิจัยเบื้องต้น การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันชนิด PVNT50 ต่อสายพันธุ์โอมิครอน ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Siriraj Institute of Clinical Research ดังนี้
ซิโนแวค : หลังฉีดซิโนแวคสองเข็มมาแล้ว 12 สัปดาห์ เมื่อกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วย
วัคซีนแอสตราเซเนกา จะได้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน=170
วัคซีนไฟเซอร์ครึ่งโดส จะได้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน=551
วัคซีนไฟเซอร์เต็มโดส จะได้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน=543
แอสตราเซเนกา : หลังฉีดแอสตราเซเนกาสองเข็มมาแล้ว 12 สัปดาห์ เมื่อกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วย
วัคซีนแอสตราเซเนกา จะได้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน=3
วัคซีนไฟเซอร์ครึ่งโดส จะได้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน=232
วัคซีนไฟเซอร์เต็มโดส จะได้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน=521
การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในวัคซีนสูตรไขว้
ซิโนแวค - แอสตราเซเนกา : หลังฉีดซิโนแวคเข็มที่ 1 และฉีดแอสตราเซเนกาเข็มที่ 2 มาแล้ว 12 สัปดาห์ เมื่อกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วย
วัคซีนไฟเซอร์ครึ่งโดส จะได้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน=204
วัคซีนไฟเซอร์เต็มโดส จะได้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน=150
สรุปแล้วหลังฉีดวัคซีนสองเข็ม ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม ควรกระตุ้นวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สำหรับป้องกันสายพันธุ์โอมิครอน ,กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 3 ทั้งครึ่งโดสและเต็มโดส ให้ระดับภูมิคุ้มกันได้ดีต่อสายพันธุ์โอมิครอน และหากได้แอสตราเซเนกามาแล้วสองเข็ม ควรกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยไฟเซอร์เท่านั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศูนย์จีโนมฯ ระบุโควิด- 19 ใกล้ End game กลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว
หมอธีระระบุวิจัย "Long COVID" พบปัญหา "ด้านความจำ-เหนื่อยล้า"