วิ่งหนีเสือขึ้นไปอยู่บนกอไผ่ พยายามตะโกนไล่เสือ ใช้ท่อนไม้ขว้างใส่ กระทั่งเสือเดินเข้า ป่า จึงลงจากกอไผ่ แล้ววิ่งหนีสุดชีวิตมาขอความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านให้นำส่งโรงพยาบาล
นายหวาน หนุ่มชาติพันธุุ์จากหมู่บ้านปิล๊อกคี่ ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เล่านาทีที่ถูกเสือโคร่งในพื้นที่ป่ารอยต่อ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา
หลังรักษาตัวอยู่ 3 วันจากโรงพยาบาลทองผาภูมิที่แรก ก่อนที่จะส่งมารักษาต่อที่โรงพยาบาลพหลพยุหเสนา ล่าสุดวันนี้ (1 ก.พ.2565) คณะแพทย์อนุญาตให้นายหวาน ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เนื่องจากอาการดีขึ้น และนัดพบหมอเพื่อตรวจอาการอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 9 ก.พ.นี้
สู้ตายเอาชีวิตรอด-หนีขึ้นต้นไผ่
นายหวาน เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุออกจากหมู่บ้านเพียงคนเดียว เพื่อไปดูควายที่เลี้ยงเอาไว้ และมีหมา 3 3 ตัวไปด้วย ระหว่างเดินทางกลับบ้าน มีเสือโคร่ง 2 ตัว วิ่งไล่ตามหลังมา จึงพยายามวิ่งหลบหนี แต่ระหว่างนั้นกลับมีเสือโคร่งยาวประมาณ 8 ศอก อีก 1 ตัวยืนขวางทางอยู่ด้านหน้า
เสือตัวที่ขวางกระโจนเข้าทำร้ายอย่างรวดเร็ว แต่พยายามต่อสู้ เพื่อเอาชีวิตรอดทุกวิถีทาง ใช้หมัดชกอย่างแรง ทำให้กระดูกข้อมือหัก แค่คาดว่าสู้กับเสืออยู่ 30 นาที ถือว่าโชคดีที่เสือ 2 ตัวที่วิ่งตามมาไม่ได้เข้ามาทำร้าย จนฝืนใจวิ่งหนีขึ้นไปอยู่บนกอไผ่ได้
เชื่อเป็นเสืออพยพจากฝั่งเมียนมา
นายหวาน เล่าอีกว่า ที่ผ่านมาในพื้นที่ปิล๊อกคี่ ตั้งแต่มาอาศัยอยู่ไม่เคยเจอเสือโคร่งมาก่อน และไม่ได้คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ ส่วนจะเป็นเสือจากฝั่งเพื่อนบ้านหรือไม่ ไม่รู้แต่พื้นที่ติดกับชายแดนไทย-เมียนมา ตอนที่พยายามเอาชีวิตรอด โดยหนีขึ้นต้นไผ่ และพยายามตะโกนไล่เสือ และใช้ไม้ที่มีอยู่ขว้างใส่ตลอด กระทั่งเสือเดินกลับไป จากนั้นจึงวิ่งหนีสุดชีวิตหาคนในหมู่บ้านให้ช่วย
มีบาดแผลตามร่างกาย เป็นรอยเขี้ยวเสือกัดประมาณ 20 แผล โดยเฉพาะที่ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างถูกเสือกัดจนทะลุ เป็นเขี้ยวเสือ รวมทั้งบริเวณลำคอ ตามร่างกาย ส่วนปากถูกเสือกัดจนฟันหัก นอกจากนั้นเป็นรอยแผลจากเล็บเสือ
สำหรับค่ารักษาอาการบาดเจ็บ มีค่าใช้จ่ายกับโรงพยาบาลทองผาภูมิ ประมาณ 8,000 บาท และโรงพยาบาลพหลฯอีก 16,000 บาท เบื้องต้นทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มอบเงินช่วยเหลือมาแล้ว 10,000 บาท
น้าสาวของนายหวาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาในพื้นที่ไม่เคยพบเสือโคร่งมาก่อน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการยิงสู้รบกันตามแนวชายแดนที่ใกล้กับบ้านปิล๊อกคี่ ทำให้ทหารกะเหรี่ยงหนีร่นเข้ามาอาศัยอยู่ตามผืนป่าที่เป็นที่อยู่ของเสือโคร่ง จากการยิงที่ทำให้เกิดเสียงดัง เสือโคร่ง ที่อาศัยอยู่ผืนป่าฝั่งประเทศเมียนมา จึงอพยพถิ่นฐานเข้ามาหากินที่ผืนป่าฝั่งไทย
สิ่งที่มั่นใจว่าเป็นเสือมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากได้รับแจ้งจากญาติ ที่เป็นทหารกะเหรี่ยงอยู่ฝั่งเมียนมาว่ามีเสือโคร่ง 5 ตัว อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ฝั่งไทยได้ประมาณ 2-3 เดือน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
สั่งห้าม! เข้าห้วยปิล๊อก-สะมะท้อ 90 วันหลังเสือโคร่งกัดคน
“เสือโคร่ง” ทำร้ายชาวบ้านปิล๊อกคี่ ลำเลียงคนเจ็บทางเรือส่ง รพ.