วันนี้ (6 ก.พ.2565) ชาวบ้านเกริงแกระ หมู่บ้านย่อยของหมู่บ้านปิล๊อกคี่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า เมื่อช่วงตีสองของวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา มีวัว 2 ตัว ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ ถูกสัตว์ป่าที่คาดว่าเป็นเสือโคร่งกัดในคอกเลี้ยง
วัวตัวแรกมีแผลใหญ่สุดอยู่ที่ข้อเข่าขาหน้า ขาหลังมีรอยกัด รอยขีดข่วนหลายแห่ง ทำให้ไม่สามารถลุกเดินได้ ชาวบ้านเจ้าของวัวคาดว่า วัวตัวนี้อาจจะตายในไม่ช้า เพราะแผลเริ่มอักเสบรุนแรงขึ้น และไม่ยอมกินอาหาร
วัวตัวที่สอง เป็นของนายเอธี ธนูทอง ชาวบ้านปิล๊อกคี่ บอกว่า เป็นวัวแม่พันธุ์ ที่ถูกกัดในคืนเดียวกัน โดยคาดว่า หลังจากเสือไล่กัดวัวตัวแรกแล้ว วัวแรกหนีรอดไปได้ เสือน่าจะไปที่วัวของเขาที่กำลังนอนอยู่ในคอกไม่ห่างกัน และโชคร้ายที่วัวของเขาถูกกัดแผลลึกและสาหัสกว่า ทำให้ต้องตัดสินใจฆ่าวัว เพื่อไม่ให้มันทรมานจากพิษบาดแผล
นายเอทีกล่าวว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ควายของเขาถูกกินไปแล้ว 4 ตัว ยังไม่นับรวมควายแม่ลูก 2 ตัว ที่ถูกกัดก่อนหน้านี้ แต่รอดมาได้ ซึ่งจากรอยแผลที่มีลักษณะเหมือนกัน ทำให้เขามั่นใจว่าวัวแม่พันธุ์ตัวล่าสุดของเขา ก็ถูกเสือกัดเช่นเดียวกัน
ส่วนจะแก้ปัญหาอย่างไร นายเอทีตอบว่า ไม่รู้ เพราะที่ดินทำกินที่ได้รับการสำรวจและผ่อนผันจากอุทยานแห่งชาติเขาแหลมจำนวน 5 ไร่ ก็ไม่สามารถปลูกอะไรได้ การเลี้ยงวัวจึงเป็นอาชีพเดียวที่สามารถดูแลครอบครัว และเป็นเงินค่าเทอมให้ลูกๆ ของเขาได้
แม้จะเข้าใจว่า เสือก็คงหิวถึงเข้ามาล่าวัวควายถึงในหมู่บ้าน แต่เขาก็คงต้องเลี้ยงควายต่อไป โดยขณะนี้เขามีควายเหลืออยู่ 14 ตัว แต่จะให้หากินอยู่แต่ในเขตหมู่บ้านและต้องคอยเฝ้าอย่างใกล้ชิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุเสือกัดชาวบ้าน เมื่อปลายเดือนม.ค.2565 ที่ผ่านมา สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลความปลอดภัย และช่วยชาวบ้านต้อนวัวควายจากป่า กลับเข้ามาเลี้ยงใกล้หมู่บ้านปิล๊อกคี่ และบ้านเกริงแกระ
ขณะเดียวกัน อุทยานฯ ได้ร่วมกับ มูลนิธิฟรีแลนด์ และ IUCN เร่งติดตั้งกล้องดักถ่ายเสือ ในพื้นที่ป่ารอยต่อระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาแหลม กับอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เพื่อให้ทราบว่า มีเสืออยู่กี่ตัวและมีขนาดเท่าไหร่ ซึ่งข้อมูลที่ได้นี้จะนำไปสู่การบริหารจัดการและอนุรักษ์เสือโคร่งในป่าตะวันตกตอนใต้
ส่วนบ้านเกริงแกระที่เกิดเหตุเสือเข้ามาจะกินวัวครั้งนี้ อยู่ห่างจากจุดที่เคยเกิดเหตุเสือกัดชาวบ้านประมาณ 2 กิโลเมตร