วันนี้ (7 ก.พ.2565) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เผยแพร่บทความซึ่งเรียบเรียงโดย ดร.มติพล ตั้งมติธรรม นักวิชาการดาราศาสตร์ สดร. ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า จรวด Falcon 9 ของ SpaceX ขึ้นสู่อวกาศตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.2558 เพื่อลำเลียงภารกิจ Deep Space Climate Observatory (DSCOVR) ไปยังจุด L1 หรือจุดลากรานจ์ที่ 1 ที่อยู่ห่างออกไป 1.5 ล้านกิโลเมตรระหว่างดวงอาทิตย์และโลก
จุด L1 นี้เป็นจุดที่อยู่ตรงกันข้ามกับจุด L2 ที่กล้องโทรทรรศน์อวกาศ JWST โคจรอยู่ และสามารถทำให้ยานสำรวจ DSCOVR หันมาสังเกตการณ์และบันทึกภาพโลกในด้านกลางวันได้ตลอดเวลา เพื่อปฏิบัติภารกิจในการสังเกตการณ์สภาพอากาศ ติดตาม climate change และยังสามารถเฝ้าระวังเตือนการพ่นมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejections; CME) จากดวงอาทิตย์ ที่จะสามารถเตือนภัยจากลมสุริยะล่วงหน้าได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่ง L1 นี้อยู่เลยออกไปจากวงโคจรของดวงจันทร์ นั่นหมายความว่า จรวดขนส่ง Falcon 9 ในส่วนของ second stage ที่ลำเลียง DSCOVR ไปยังเป้าหมายนั้น จะต้องมีวงโคจรที่เลยออกไปจากวงโคจรด้วยเช่นกัน การควบคุมขยะอวกาศที่อยู่ห่างไกลออกไปขนาดนี้ให้เสียดสีเข้ากับชั้นบรรยากาศ และเผาไหม้ไปในที่ห่างไกลจากชุมชนนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก จึงมักจะปล่อยให้ลอยเคว้งอยู่ในอวกาศต่อไปตามวงโคจร
ปัจจุบันเรามีขยะอวกาศกว่าหลายล้านชิ้นที่ถูกส่งออกไปนอกโลกแต่ไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะควบคุมให้เกิดการเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ แม้ว่าการติดตามขยะอวกาศจะเป็นสิ่งที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญ แต่การติดตามขยะอวกาศที่อยู่ในวงโคจรที่อยู่ห่างไกลโลกออกไปนั้นยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่มาก
ขณะเดียวกัน ยังมีวัตถุขนาดใหญ่ในวงโคจรสูงที่ขาดการติดตามไปโดยสิ้นเชิงกว่า 50 วัตถุ อาจเป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้ได้เคยมีเหตุการณ์ใกล้เคียงกัน ที่ชิ้นส่วนจรวดขนาดใหญ่ที่มนุษย์สร้างนั้นเคยชนเข้ากับดวงจันทร์มาก่อนแล้ว โดยที่ไม่ทราบ แต่เหตุการณ์ที่จะถึงนี้จะนับเป็นครั้งแรกที่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด
ชิ้นส่วนจรวด Falcon 9 ที่ยาวกว่า 15 เมตรและหนักกว่า 4 ตันนี้ ปัจจุบันกลายเป็นเพียงถังเชื้อเพลิงเปล่า พร้อมกับท่อจรวดที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ภายหลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจนั้นได้ถูกปล่อยให้ลอยไปตามวงโคจรรอบโลก
ภาพ : AFP PHOTO / NASA
สำหรับแรงโน้มถ่วงทั้งจากดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และโลก ทำให้วงโคจรของจรวดนี้ไม่เสถียรและค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป จนล่าสุด คาดการณ์กันว่าจรวดนี้จะพุ่งชนเข้ากับพื้นผิวของดวงจันทร์ ด้วยความเร็วกว่า 8,000 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 4 มี.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม การชนกันจะเกิดขึ้นในส่วนด้านไกลของดวงจันทร์ จึงจะไม่สามารถสังเกตเห็นการพุ่งชนนี้ได้จากโลก แต่ดาวเทียมที่สำรวจรอบดวงจันทร์ เช่น จันทรายาน-2 ของประเทศอินเดียอาจจะสามารถสังเกตเห็นการพุ่งชนได้
ส่วนดาวเทียม Lunar Reconaissance Orbiter (LRO) ของนาซานั้นจะไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะสามารถสังเกตเห็นการพุ่งชนได้ ณ เวลานั้น แต่อาจจะสามารถเปรียบเทียบพื้นผิวของดวงจันทร์ ก่อน และหลังการชน เพื่อยืนยันหลุมอุกกาบาตที่เกิดขึ้นจากการพุ่งชนนี้ได้
แม้ว่าการที่จรวดพุ่งชนเข้ากับดวงจันทร์นั้นจะฟังดูเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนหน้านี้เคยมีการส่งวัตถุพุ่งชนเข้ากับพื้นผิวของดวงจันทร์อยู่เป็นประจำ เช่น ส่วนของ Ascent Stage ในโครงการอพอลโลช่วงหลัง ๆ รวมไปถึงอุกกาบาตที่พุ่งชนเข้ากับดวงจันทร์เป็นประจำ และมวลของจรวดที่พุ่งชนเข้ากับดวงจันทร์นี้นั้นนับเป็นเศษเสี้ยวจำนวนน้อยมากของมวลดวงจันทร์ และไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆ ได้กับดวงจันทร์ จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
ที่สำคัญไปกว่านั้น การพุ่งชนเข้ากับดวงจันทร์นับว่าเป็นทางออกที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดแล้ว เมื่อต้องเทียบกับการปล่อยให้ขยะอวกาศขนาดใหญ่ขนาดนี้โคจรไปรอบโลกเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าจะถูกแรงเหวี่ยงทำให้ตกลงสู่ชั้นบรรยากาศโลกเมื่อไหร่ และในบริเวณใด เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของ SpaceX แต่อย่างใด และเป็นเพียงมาตรฐานปรกติที่เกิดขึ้นในการเดินทางอวกาศ