เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2565 รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวในการแถลงข่าวผล "ความก้าวหน้าวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะรายบุคคล นวัตกรรมแห่งความหวังของสังคมไทย" ว่า ปัจจุบันการให้ยารักษามะเร็ง มีแนวทางหลัก 3 วิธี คือ
1.ยาเคมีบำบัด เป็นการรักษาที่ค่าใช้จ่ายไม่สูง มีประสิทธิภาพปานกลาง และอาจมีผลข้างเคียงที่มากได้ 2.ยามุ่งเป้า เป็นการให้ยารักษาที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง มีประสิทธิภาพจำเพาะเฉพาะในรายที่มีการกลายพันธุ์ตรงกับตัวยา อาการข้างเคียงมักจะไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับยาเคมีบำบัด และ 3.ภูมิคุ้มกันบำบัด ปัจจุบันมีทั้งการรักษาแบบการให้ยาแอนติบอดี และการใช้เซลล์บำบัด ซึ่งทั้งสองแนวทางนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาโดยทั่วไปแล้ว มีประสิทธิภาพดี ไม่จำเพาะกับชนิดมะเร็ง และส่วนใหญ่ผลข้างเคียงน้อย แต่อาจมีผลข้างเคียงส่วนน้อยที่เกิดรุนแรงได้บางครั้ง
รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า ในการวิจัยและพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด มุ่งเน้นพัฒนาการรักษาใน 3 วิธีคือ เซลล์บำบัดมะเร็ง (CAR T-cells และ NK cells) วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล (therapeutic cancer neoantigen vaccine) และยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง (ยาภูมิต้านมะเร็ง, immune checkpoint inhibitor)
ภูมิคุ้มกันบำบัดทั้ง 3 วิธีนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน และสามารถใช้รักษาร่วมกัน และใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา เบื้องต้นในการศึกษาวิจัยวัคซีนมะเร็งเฉพาะบุคคลในมะเร็งไต และมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) หรือมะเร็งเม็ดสี
นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงการรักษา ด้วยวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล มาตั้งแต่ปี 2560 จนถึงขั้นตอนทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1 ให้กับอาสาสมัครตั้งแต่เดือน ม.ค.2564 นับเป็นการทดสอบทางคลินิกครั้งแรกในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การผลิตวัคซีนเฉพาะบุคคลนี้ ต้องใช้ข้อมูลการกลายพันธุ์ที่ตรวจพบในผู้ป่วยรายนั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง เนื่องจากมะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคนมีการกลายพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ต่างกัน การผลิตวัคซีนจึงต้องทำทีละ 1 คน เพื่อสร้างให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่จำเพาะและมีประสิทธิภาพไว้ต่อสู้กับโรคมะเร็ง
ให้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล
นพ.ไตรรักษ์ กล่าวว่า การให้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล เริ่มต้นด้วยการนำชิ้นเนื้อมะเร็งจากผู้ป่วยมาถอดรหัสพันธุกรรมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ที่พบในชิ้นเนื้อมะเร็งเท่านั้น ซึ่งไม่พบในเซลล์ปกติของร่างกาย และนำข้อมูลการกลายพันธุ์มาผลิตเป็นชิ้นส่วนของโปรตีนของมะเร็งที่กลายพันธุ์ขนาดเล็ก ที่มีเพียงข้อมูลการกลายพันธุ์แต่ไม่สามารถก่อโรคได้ โดยไม่มีการฉีดเซลล์มะเร็งเข้าในร่างกายแต่อย่างใด
ทั้งนี้ผู้ป่วยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่จะต้องมารับวัคซีนจำนวน 7 ครั้ง แบ่งเป็น 5 ครั้งแรกภายใน 1 เดือน และเว้นระยะในการฉีดอีก 2 เข็มเพื่อกระตุ้นไป 1-2 เดือน หลังฉีดวัคซีนเม็ดเลือดขาวชนิด antigen presenting cells จะกินชิ้นส่วนโปรตีนกลายพันธุ์ที่ผลิตไว้ และกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ให้รู้จักการกลายพันธุ์ของมะเร็งมากขึ้นอย่างจำเพาะ
ผลทดสอบผู้ป่วยมะเร็ง พบผลข้างเคียงน้อย
นพ.ไตรรักษ์ กล่าวว่า เบื้องต้นใน 1 ปีที่ผ่านมา การทดสอบวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลกับอาสาสมัครผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 4 คน ซึ่งเป็นระยะที่ 4 (ระยะลุกลาม) แบ่งเป็น ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดสี 3 คน และมะเร็งไต 1 คน พบว่าการฉีดวัคซีนมีความปลอดภัย พบผลข้างเคียงน้อย เช่น มีอาการปวดตรงจุดที่ฉีดวัคซีน ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง
และหลังจากการฉีดวัคซีน 3 สัปดาห์ พบว่าหลังจากฉีดไป 3 สัปดาห์สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยทั้ง 4 คนดีขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะต่อชิ้นส่วนการกลายพันธุ์ของผู้ป่วยมะเร็งรายนั้นๆ
นพ.ไตรรักษ์ ย้ำการทำงานของวัคซีนว่า ดังนั้นวัคซีนนี้จึงเป็นวัคซีนรักษามะเร็ง โดยนำข้อมูลจากชิ้นเนื้อมะเร็งมาผลิตวัคซีน ไม่ใช่วัคซีนป้องกันมะเร็ง และในต่างประเทศ เช่น ที่ม.ฮาร์วาร์ด ก็มีการศึกษาเช่นกัน และพบว่าการใช้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลร่วมกับการให้ยาแอนติบอดีที่ช่วยเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้สูงขึ้นได้ นับว่าการแพทย์ของไทยนับว่าก้าวทันต่างประเทศ
ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ตรวจติดตามการตอบสนองทางพยาธิวิทยาในผู้ป่วย 1 คน นพ.ไตรรักษ์ กล่าว่า เมื่อประเมินการกระจายตัวของเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ในชิ้นเนื้อมะเร็ง (T-cell tumor infiltration) พบถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ซึ่งก่อนฉีดวัคซีน ตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดขาว อยู่บริเวณรอบนอกก้อนมะเร็งเป็นหลัก และหลังได้รับวัคซีน พบว่าเม็ดเลือดขาวมีการเปลี่ยนแปลง ตอบสนองในทางบวก มีการกระจายตัวเข้าไปในชิ้นเนื้อมะเร็งมากขึ้น โดยปัจจุบันผู้ป่วยรายนี้อาการคงที่หลังได้รับการรักษาด้วยวัคซีนมะเร็ง และตรวจติดตามเป็นเวลา 9 เดือน
เตรียมวิจัยทางคลินิกปี 66
นพ.ไตรรักษ์ กล่าวถึงถึงเป้าหมายว่า หากมีการพิสูจน์ประสิทธิภาพของวัคซีนได้ ซึ่งอาจจะเร็วหรือภายใน 4 ปีข้างหน้า ทีมวิจัยจะเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะถัดไป โดยเริ่มเปิดให้บริการในรพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่องานวิจัยสามารถพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย จะดำเนินการขึ้นทะเบียน
ในขณะเดียวกัน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง จะทำการวิจัยและพัฒนายาแอนติบอดีรักษามะเร็ง หรือยาภูมิต้านมะเร็งคู่ขนานด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการผลิตในโรงงานและจะเริ่มการทดสอบในสัตว์ทดสองภายในปีนี้ รวมไปถึงการเริ่มทดสอบทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็งในปี 2566 ซึ่งหากการพัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล และยาแอนติบอดีประสบผลสำเร็จ จะสามารถใช้การรักษาทั้ง 2 วิธีควบคู่กัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งให้ดีขึ้น และราคาที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้