ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

แจ้งความหน้าห้องผู้ว่าการ กฟภ. หลอกโอนเงินกว่า 5 ล้านบาท

อาชญากรรม
5 เม.ย. 65
11:21
1,300
Logo Thai PBS
แจ้งความหน้าห้องผู้ว่าการ กฟภ. หลอกโอนเงินกว่า 5 ล้านบาท
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
พนักงานรัฐวิสาหกิจแจ้งความให้จับหน้าห้องผู้ว่าการ กฟภ. หลอกให้โอนเงินกว่า 5 ล้านบาท โดยอ้างจะนำไปใช้หนี้นอกระบบ แต่ผ่านมากว่า 1 ปี ยังไม่ได้เงินคืน

วันนี้ (5 เม.ย.2565) ผู้เสียหายจากการถูกหลอกให้โอนเงินกว่า 5 ล้านบาท นำหลักฐานการโอนเงินให้หญิงสาวคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ภายในการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.)

นางพูนทรัพย์ บูรณ์โภคา พี่สาวของผู้เสียหาย เล่าว่า น้องชายทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นที่ทำงานเดียวกับหญิงที่มาหลอกให้โอนเงินไปให้ โดยหญิงคนนี้อ้างว่า ถูกแก๊งทวงหนี้นอกระบบจะมาทำร้ายร่างกายและอยู่กับลูกเพียง 2 คน

จากนั้นได้มาหลอกขอยืมเงินน้องชาย ด้วยความที่รู้จักกันน้องชายจึงโอนเงินให้ไปตั้งแต่ปี 2563-2564 รวมกว่า 100 ครั้ง ครั้งละ 140,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 5 ล้านบาท และบอกว่าจะคืนให้ พร้อมดอกเบี้ยแต่ผ่านมาเกือบ 1 ปี ยังไม่ได้รับเงินคืน

ขณะที่น้องชายที่ตกเป็นผู้เสียหาย กล่าวว่า เคยคบหากับผู้หญิงคนนี้ก่อนที่จะย้ายแผนกไปทำงานฝ่ายอื่นและฝ่ายหญิงได้ไปมีครอบครัว และผู้หญิงคนนี้ได้ทำงานอยู่หน้าห้องของผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซึ่งเคยทำงานร่วมกันมาก่อน

ทั้งนี้ เงินที่โอนไปให้นอกจากเงินเก็บส่วนตัวแล้วยังเป็นเงินที่ไปกู้มาจากสหกรณ์ออมทรัพย์อีกกว่า 2 ล้านบาท ทุกวันนี้ยังต้องใช้หนี้จากการถูกหักเงินเดือน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เงินคืนเพียงไม่กี่พันบาท จากเงินที่ยืมไปทั้งหมด

ผู้เสียหาย ยืนยันว่า เงินที่ให้ไปเป็นการให้ยืม ไม่ใช่ให้เพราะเสน่หา แต่เป็นการให้เพราะความเชื่อใจมากกว่า และหญิงคนนี้ยังเคยอ้างว่า จะสามารถช่วยเหลือในด้านหน้าที่การงาน และสามารถฝากงานให้กับญาติได้แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม วันนี้ได้แจ้งความกับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับผู้เสียหายในข้อหาฉ้อโกง และให้ตำรวจติดตามตัวมาดำเนินคดี และยังพบว่าทำงานอยู่ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามปกติ

แต่พนักงานสอบสวนพิจารณาจากหลักฐานแล้ว เห็นว่าไม่เข้าข่ายความรับผิดชอบการทำคดีจึงให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุ หรือ ไปร้องเรียนกับหน่วยงานต้นสังกัดให้ติดตามทวงถามคืนเงิน แต่ผู้เสียหายไม่เชื่อมั่นในหน่วยงานต้นสังกัด จึงเตรียมไปร้องเรียนกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ให้ช่วยเหลือทางด้านคดีความต่อ 

 

 

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง