วันนี้ (9 มิ.ย.2565) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดสปสช.) เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบข้อเสนอยกเลิกกรณีที่มีเหตุสมควรการเข้ารับบริการตรวจคัดกรอง บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และรับบริการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคอื่นที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในสถานบริการอื่น โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้
นพ.เจด็จ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 หน่วยบริการต่างๆ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง มีภาระงานอย่างมากในการตรวจคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อ รวมทั้งบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในส่วนที่เกี่ยวกับโควิด-19 สปสช.จึงได้ออกประกาศเรื่องกำหนดกรณีที่มีเหตุสมควรและอัตราค่าใช้จ่ายที่สถานบริการมีสิทธิได้รับโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ พ.ศ.2564 มีสาระสำคัญคือการดึงสถานบริการที่ไม่ได้อยู่ในระบบบัตรทองให้เข้ามาร่วมช่วยตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยมีการกำหนดอัตราการชดเชยค่าบริการตามการบริการของหน่วยบริการที่เข้าร่วม
ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มผ่านพ้นช่วงวิกฤตแล้ว ประกอบกับคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด-19 สู่การเป็นโรคประจำถิ่น ทั้ง สปสช.กรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม กองเศรษฐกิจสุขภาพฯ สธ.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าในระยะต่อไปไม่จำเป็นต้องมีการตรวจคัดกรองเชิงรุก ทั้งประชาชนสามารถตรวจคัดกรองด้วย ATK ด้วยตนเองในหน่วยบริการได้
บอร์ด สปสช.มีมติร่วมกันให้การปรับเงื่อนไขอัตราจ่ายบริการโควิด-19 โดยยกเลิกตรวจคัดกรองเชิงรุกนอกหน่วยบริการที่เป็นไปตามแผน และมาตรการการบริหารจัดการสถานการณ์โรคโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น
นพ.เจด็จ กล่าวอีกว่า บอร์ด สปสช.มีมติให้ยกเลิกการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองบริการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันการติดเชื้อ การเข้ารับบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคอื่นที่เกี่ยวกับโควิด-19 ในสถานบริการนอกระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คงเหลือแต่ส่วนที่เป็นบริการของหน่วยบริการในระบบต่อไป
โดยมติบอร์ด สปสช.นี้ทางสธ.จะรวบรวมเป็นข้อมูลการดำเนินการในส่วนของสาธารณสุข เพื่อนำเสนอต่อศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานผู้ติดเชื้อ 3,185 คน ผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,253,617 คน (ตั้งแต่ 1 ม.ค.65) เสียชีวิต 23 คน หายป่วยแล้ว 2,253,034 คน ส่วนผู้รับวัคซีนสะสมทั้งหมดจำนวน 138,365,976 โดส