ภาพข่าวรถแบ็กโฮเจาะบดถังสารเคมี หลังเหตุไฟไหม้เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา ประกอบกับฝนที่ตกหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายธนู งามยิ่งยวด ชาวสวนลำไยในพื้นที่หมู่ 1 ต.น้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุรี กังวลว่า จะมีสารเคมีจากโรงงานรีไซเคิลแวกซ์ กาเบ็จ ซึมลงใต้ดินและปนเปื้อนแหล่งน้ำ ก่อนไหลมายังที่ดินและบ้านของเขา ซึ่งอยู่ต่ำกว่าโรงงาน และห่างกันเพียง 400 เมตร
ไม่รู้ว่าแก้กี่ปีถึงจะหาย แต่ตอนนี้ยังได้กลิ่นเหม็นทุกวัน
เป็นเวลากว่า 20 ปี ที่นายธนู ต้องทนกับกลิ่นเหม็นจากโรงงานดังกล่าว และน้ำเน่าเสียในลำห้วยน้ำพุที่มีสารปนเปื้อนจนไม่สามารถใช้อุปโภค บริโภค รวมถึงใช้ในการเกษตรได้ไม่เพียงพอ แม้จะขุดบ่อบาดาลถึง 4 บ่อ ลึก 38 เมตร แต่น้ำก็ยังมีสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นเหม็น และมีฟอง ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ถึง 3 บ่อ จึงต้องเปลี่ยนมาปลูกโกโก้แทนลำไย
หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจแหล่งน้ำพบสารปนเปื้อน ทำให้ไม่ผ่านมาตรฐาน GMP กระทบการส่งออกลำไย สูญเสียรายได้ อีกทั้งการปนเปื้อนสารเคมีจากโรงงานยังกระทบความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการตรวจพบสารโลหะหนักในร่างกายทุกคนในครอบครัว และมีผื่นขึ้นหลังสัมผัสน้ำจากลำห้วย
ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีของนายธนู และตัวแทนชาวบ้าน เพราะลำห้วยน้ำพุไหลผ่านหลายตำบลในพื้นที่ ซึ่งชาวบ้าน หมู่ 1 ต.น้ำพุ กว่าร้อยละ 80 ต้องใช้ในการทำการเกษตร ทั้งปลูกลำไย มะเขือ พริก แตงกวา ข้าวโพด และอ้อย
แม่อายุ 90 ปี ก็นอนติดเตียงดมอยู่ทุกวัน จนต้องติดแอร์ทุกห้อง เพื่อลดกลิ่นเหม็นภายในบ้าน ยิ่งช่วงลมพัดหรือฤดูหนาว จะได้กลิ่นเหม็นแรงมาก
แม้จะชนะคดี โดยศาลแพ่งแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ตัดสินให้โรงงานต้องชดเชยค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 600,000 บาท แต่นายธนู ยืนยันว่า ไม่คุ้มค่ากับความเดือดร้อนที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ทั้งยังได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้โรงงานดังกล่าวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะเขาเชื่อว่า มีสารเคมีปนเปื้อนมากับควันไฟ เนื่องจากมีอาการระคายเคืองตา และได้กลิ่นคล้ายน้ำมันหรือกลิ่นสี