วันนี้ (25 ก.ค.2565) กลุ่ม ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย นายอัครวัฒน์ อัศวเหม, นายยงยุทธ สุวรรณบุตร, นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก, นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ, นายต่อศักดิ์ อัศวเหม เดินทางมารอต้องรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ที่มาตรวจราชการใน จ.สมุทรปราการ ขณะที่ น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.ในพื้นที่อีกคนไม่ได้มาร่วมต้อนรับด้วยเพราะติดภารกิจ
นายอัครวัฒน์ กล่าวถึงการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ ส.ส.สมุทรปราการ ทั้ง 6 คน มีมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ว่า ตั้งแต่ได้รับเลือกตั้งก็เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทของหัวหน้าพรรค ทำตามที่หัวหน้าพรรคสั่งทุกอย่างไม่ได้เรียกร้องอะไร เมื่อเราเป็นผู้แทนของ จ.สมุทรปราการ ก็อยากเห็นชาวสมุทรปราการมีการพัฒนาที่ดีขึ้น
พวกเราส่วนใหญ่มาจากการเมืองท้องถิ่นทั้งนั้น รู้ปัญหาในพื้นที่ว่าเป็นอย่างไร แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้น ก็ต้องบอกว่า ตนตอบไม่ได้เพราะมีเหตุผลของผู้ใหญ่ มีเหตุผลบางอย่างซึ่งตนไม่สามารถไปก้าวล่วงความคิดของผู้ใหญ่ได้
ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการลงมติ พล.อ.ประวิตร ยังไม่ได้เรียกไปหา หรือตำหนิอะไร อาจเป็นเพราะลงมติในวันเสาร์และวันนี้ก็จะได้เจอกันอยู่แล้ว ก็อาจจะได้คุยกัน พล.อ.ประวิตร เป็นคนที่น่ารัก พวกเราเคารพนับถือ
ส่วนที่หลายคนมองว่ากลุ่ม ส.ส.สมุทรปราการ ไม่เชื่อฟัง พล.อ.ประวิตร นั้น นายอัครวัฒน์กล่าวว่า ทุกคนเคารพหัวหน้าพรรค แต่เหตุที่เกิดขึ้นขอไม่ก้าวล่วงความคิดของผู้ใหญ่ และไม่สามารถตอบแทนผู้ใหญ่ท่านั้นได้
แต่ที่เหตุผลที่พวกตนทำไปมีเบื้องหลัง ก็เพราะมุ่งมั่น อยากให้ จ.สมุทรปราการ พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ได้น้อยใจอะไรทั้งนั้น และไม่ได้เรียกร้องตำแหน่งอะไร แต่เป็นห่วงว่างบประมาณต่าง ๆ ต้องกลับมาที่ จ.สมุทรปราการ ด้วย ปัญหาที่มีผู้ใหญ่ที่เคยมารวมถึงนายกฯ ก็ทราบปัญหาหมดแล้ว
ส่วนกรณีเพื่อน ส.ส.บางคนแสดงท่าทีไม่พอใจในไลน์กลุ่มพรรคจะทำให้มีปัญหาการทำงานในพรรคหรือไม่ นายอัครวัฒน์กล่าวว่า สมาชิกในกลุ่มมีหลักร้อยคน แต่มี 3 - 4 คนที่มีปัญหา เหตุใดอีกร้อยคนไม่มีปัญหา มีแต่โทรมาให้กำลังใจว่า จ.สมุทรปราการ สู้ ๆ ตนก็ไม่เข้าใจ และต้องรอดูว่า หลังจากนี้คณะกรรมการบริหารพรรคจะดำเนินการอย่างไรต่อ
ส่วนนายยงยุทธ ย้ำว่า แม้จะมีความคิดต่างกันแต่ไม่ได้แตกแยก พวกตนเห็นว่า จ.สมุทรปราการ ต้องไปไกลกว่านี้ และเป็นเอกสิทธิ์ของพวกตนที่จะตัดสินใจด้วยกัน ผู้ใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้อง หากพรรคเรียกไปชี้แจงก็มั่นใจว่าชี้แจงได้ว่า เหตุผลคืออะไร ไม่น่ามีปัญหา พร้อมบอกด้วยว่า สื่อมวลชนก็น่าจะเข้าใจพวกเรา
ขณะที่นายกรุงศรีวิไล กล่าวถึง พล.อ.อนุพงษ์ว่า เป็นแม่บ้านของรัฐบาล ต้องดูแลทั้งประเทศ ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ต้องดูแลหมด และเคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลชาวสมุทรปราการ ซึ่งเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้เจอ
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตัดสินใจกระตุกหนวดเสือ เสือหลับเรียกให้ตื่น ว่ามาดูลูก ๆ บ้าง ว่าเป็นอย่างไร แต่ ส.ส.สมุทรปราการ 6 คน ได้เงินเดือนจากรัฐ แต่ไม่มีผลงานมาพื้นที่เลย มาไม่ได้เพราะกระทรวงไม่สั่งจังหวัด ก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วจะเป็นไปทำไม
พวกเราตรง ๆ แบบลูกทุ่งไม่มีชั้นเชิง ดีลไปก็ไม่ได้รับการตอบรับ อย่าว่าแต่ลุงป๊อกเลย ถ้าลุงตู่ทำไม่ถูก ผมก็ขึ้นเวทีอภิปราย
นอกจากนี้ยังบอกว่า ยกเว้น พล.อ.ประวิตร ไว้คนหนึ่ง เพราะมีความเมตตา เอื้ออารีกับทุกคน พร้อมย้ำว่า เป็นมาตรการกระตุกหนวดเสือ ให้เสือตื่นมาดูว่า ลูกเสืออยู่กันอย่างไร ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ทำไม่ถูกก็ต้องโดน และเคยบอก พล.อ.ประยุทธ์ว่า จะรีโนเวตตลาดบางบ่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว นายกฯก็บอกให้ทำแผนมาแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้แล้วอย่างนี้พวกเราจะอยู่อย่างไร
ส่วน รมว.แรงงาน ก็ต้องดูแรงงานทุกจังหวัด ไม่ใช่ จ.ชลบุรี หรือ จ.สมุทรปราการ อย่างเดียว เพราะเป็นประชาชนเหมือนกัน เดือดร้อนเหมือนกัน ต้องดูแลทุกคนอย่าไปแบ่งแยก ควรจะสอบถามกันบ้างว่าแรงงานใน จ.สมุทรปราการ มีปัญหาหรือไม่ ต้องการแค่นี้
นายฐาปกรณ์ กล่าวว่าพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ต้องพัฒนาอีกเยอะ บางครั้งงบไม่เพียงพอ มีการทำเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทยแต่ไม่ได้รับการตอบรับ ของบกลางมาแก้ปัญหาแบบเร่งด่วนก็ไม่ได้รับการตอบรับ หรือมีเหตุการณ์ใดที่กระทรวงมหาดไทยต้องมาช่วยดำเนินการก็ไม่ได้รับการตอบรับนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถไว้วางใจท่านได้
ส่วนรัฐมนตรีอีกท่านก็เหมือนที่นายกรุงกล่าวไว้ แต่จะไปแก้บางพื้นที่ที่ต้องการมากกว่า ก็คุยกันเห็นสมควรว่าไม่ไว้วางใจทั้ง 2 คน ซึ่งเคยสะท้อนปัญหาให้ พล.อ.ประวิตร รับฟังแล้ว และรัฐมนตรีก็รับทราบแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
ทั้งนี้ระหว่างคณะ ส.ส.ออกไปรอรับ พล.อ.ประวิตร ผู้สื่อข่าวถามว่าอยากให้ใครเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกรุงศรีวิไลหันมาตะโกนตอบว่า “ลุงป้อม”