ทันทีที่เกิดแผ่นดินไหว นักเรียนทุกคนจะหลบเข้าใต้โต๊ะ ขณะที่ครูยกเก้าอี้ขึ้นบังเหนือศีรษะ รอจนเมื่อแผ่นดินไหวสงบลง และได้ยินเสียงสัญญาณเตือนอพยพดังขึ้น
ครูจึงนำนักเรียนอพยพด้วยการเดินเร็ว ไม่วิ่ง ไม่วุ่นวายสับสน ไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า สู่จุดรวมพลกลางแจ้ง เพื่อป้องกันอันตรายจากอาฟเตอร์ช็อก
นี้เป็นการซ้อมแผนตามหลักสูตรการเอาตัวรอดจากเหตุแผ่นดินไหวของโรงเรียนแม่คือวิทยา อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ที่มีเด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 รวม 367 คน
นายสุริยน สุริโยดร ผอ.ร.ร.แม่คือวิทยา บอกว่า ที่ตั้งของโรงเรียนอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ตัวอาคารเคยได้รับความเสียหายเล็กน้อย จากแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้น จึงเสริมหลักสูตรให้เด็กๆ รู้จักวิธีการเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ดีเท่าเด็กโต ต้องมีการซักซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุการณ์เฉพาะหน้า
รศ.พิษณุ วงศ์พรชัย อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ระบุว่า แผ่นดินไหว ขนาด 6.4 ในเมียนมา จุดศูนย์กลางอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปประมาณ 87 กม. เมื่อเดือนกรกฎาคม และ อาฟเตอร์ช็อก ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องถึงปัจจุบัน แม้ตอบได้ยากว่าจะส่งผลต่อรอยเลื่อนในประเทศไทยหรือไม่
แต่กลไกการเกิดแผ่นดินไหวที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือ การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกอนุทวีปอินเดียชนกับแผ่นทวีปยูเรเซีย ทำให้รอยเลื่อนทั้งในเมียนมา และไทย มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้เสมอ การซ้อมแผนเผชิญเหตุ และ การเสริมความแข็งแรงโครงสร้างอาคาร บ้านเรือน จึงยังเป็นสิ่งสำคัญ
ในพื้นที่ภาคเหนือ มีรอยเลื่อนมากกว่า 10 รอยเลื่อน ถือว่าเป็นรอยเลื่อนที่มีพลัง ยังมีการสะสมตัวของพลังงาน จึงมีโอกาสการเคลื่อนตัว และทำให้เกิดแผ่นดินไหว แต่เป็นเรื่องยากที่จะประเมินว่า การสั่นไหวจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน หน้าที่ของประชาชนและภาครัฐ ก็ต้องมีการตั้งรับใน 2 เรื่องใหญ่
หนึ่ง คือให้การศึกษาแก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ให้มีความรู้ในการเตรียมรับมือ ทั้งก่อนและหลังเกิดแผ่นดินไหว
สอง คือ ในเรื่องของที่อยู่อาศัย เพราะการสูญเสียชีวิตเมื่อเกิดแผ่นดินไหว สาเหตุหลักมาจากที่อยู่อาศัยพังทลายลงมาทับคน
ภาครัฐเองต้องตระหนัก และ วางแนวทางให้โครงสร้างอาคารบ้านเรือน มีความปลอดภัย เพียงพอที่จะรับมือกับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้
ในกรณี อาคารเก่าๆ มีงานศึกษา ถึงวิธีการเสริมความแข็งแรงให้กับอาคาร โดยไม่ทุบทิ้ง ทำใหม่ แต่เสริมโครงสร้างบางตัวให้กับโครงสร้างเก่าให้มีความแข็งแรงมากขึ้น สามารถรับแรงที่เกิดจากแผ่นดินไหวได้ ซึ่งภาครัฐควรมีการกำหนดเรื่องนี้ ให้เป็นนโยบาย เพื่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน