ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ศาลฎีกาฯยกฟ้อง "สุเทพ" คดีก่อสร้างโรงพักทดแทน

การเมือง
20 ก.ย. 65
12:28
1,862
Logo Thai PBS
ศาลฎีกาฯยกฟ้อง "สุเทพ" คดีก่อสร้างโรงพักทดแทน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ด่วน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวกรวม 6 คน คดีก่อสร้างโรงพักทดแทน

วันนี้ (20 ก.ย.2565) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อม.22/2565 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทน ผบ.ตร.,พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1 - 6 กรณีประมูลโครงการสร้างโรงพักทดเเทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ)

คดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง โดยระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย.2552 - 18 เม.ย.2556 จำเลยที่ 1 เเละที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง

จากราคาภาคแยกสัญญา มาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอราคาต่ำอย่างผิดปกติ

จำเลยที่ 3 และ 4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคาไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติ ดังกล่าวและได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา

ต่อมาจำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจ แห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5 และที่ 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด

โดยศาลฯ บรรยายฟ้องสรุปสาระสำคัญ ระบุว่า จำเลยที่ 1 เห็นชอบโดยไม่ผ่านคณะรัฐมนตรี ตามที่จำเลยที่ 2 เสนอมาให้มีการจัดจ้างประกวดราคาโดยส่วนกลางแทนการเสนอการประกวดราคาในรายภาคเดิม ซึ่งเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิด ซึ่งการให้มีการเสนอราคาในส่วนกลางนี้ อาจทำให้บริษัทที่มีทุนหมุนเวียนจำนวนมากได้เปรียบผู้เสนอราคารายย่อย

ส่วนรายละเอียดการเสนอราคา จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 เสนอราคาวัสดุก่อสร้าง เช่น เสาเข็ม ราคาถูกกว่าราคากลางของตลาดขณะนั้น ทำให้จำเลยที่ 5 ได้รับการคัดเลือก

ขณะที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีหน้าที่ตรวจสอบราคา และวัสดุว่าถูกต้อง หรือต่ำกว่าราคาความเป็นจริงหรือไม่ซึ่งคำฟ้องระบุว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ละเลยการปฏิบัติโดยมีการลงลายมือชื่อรับรอง

ต่อมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำสัญญาโครงการก่อสร้างนี้ แต่จำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่เสร็จตามกรอบระยะเวลาสัญญาโจทก์จึงขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 6 ตามฟ้อง

ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริง จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่ง รองนายกฯ จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ โดยจำเลยที่ 3 และที่ 4 ยังเป็นคณะกรรมการประกวดราคาฯ

ส่วนจำเลยที่ 5 เป็นคู่สัญญา และจำเลยที่ 6 เป็นกรรมการบริษัทคู่สัญญาดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 อนุมัติตามที่จำเลยที่ 2 ขอให้มีการจัดจ้างโดยวิธีการดังกล่าว โดยมีจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นคณะกรรมการประกวดราคาฯ และจำเลยที่ 5 และที่ 6 เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางทำให้ชนะการประกวดราคา

ศาลฯเห็นว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเห็นชอบให้จัดจ้างโดยส่วนกลางและประกวดราคาด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ผ่านคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระเบียบขั้นตอนจัดจ้าง เป็นการปฏิบัติไปตามระเบียบของทางราชการ ตามที่หัวหน้าหน่วยราชการเสนอมา ซึ่งมีระเบียบของราชการสามารถทำได้ จึงไม่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความผิดตามฟ้อง

ส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการใช้ดุลพินิจตามระเบียบของทางราชการในการกำหนดรูปแบบและวิธีการจัดจ้าง โดยไม่จำเป็นต้องเสนอนายกฯให้นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการประกวดราคาฯ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสียหายกรณีเอื้อประโยชน์ ไม่ตรวจสอบราคาวัสดุก่อสร้างที่ต่ำกว่าความเป็นจริงตามที่จำเลยที่ 5 เสนอมา แต่ข้อเท็จจริงการที่จำเลยที่ 5 เสนอราคาไม่ใช่ราคาที่ต่ำจนไม่สามารถดำเนินการได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

ส่วนจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 โจทก์ฟ้องว่า สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 3 และที่ 4 และเมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีความผิดตามฟ้องจำเลยที่ 5 และที่ 6 จึงไม่มีความผิดตามฟ้องเช่นกัน ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง

ขณะที่นายสุเทพ กล่าวภายหลังศาลฎีกาฯมีคำพิพากษายกฟ้องโดยระบุว่า ขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนที่รักชาติ รักแผ่นดิน นักการเมือง ข้าราชการที่มีเจตนาดีต่อบ้านเมืองทั้งหลาย

ขอให้ดูกรณีที่เกิดขึ้น ตนเองต้องตกอยู่ภายใต้กระแสการโจมตีว่า เป็นคนเลว คนทุจริตตั้ง 8-9 ปี แต่ผมก็อดทน อดกลั้น อาศัยความจริง อาศัยสัจจะเข้าต่อสู้

วันนี้สำหรับคนที่เป็นคนดีทั้งหลายสมควรที่จะมีกำลังใจ ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราตั้งใจทำความดีให้กับชาติบ้านเมือง ให้กับประชาชนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะคุ้มครองเรา

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

"สุเทพ" ขึ้นศาลฎีกา ลุ้นคดีประมูลโรงพัก พร้อมน้อมรับคำตัดสิน

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง