วันนี้ (18 ต.ค.2565) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics Center for Medical Genomics ระบุว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ได้ออกมาเตือนถึงการระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย “BQ.1” และ BQ.1.1 ซึ่งเป็นรุ่นหลานของโอมิครอน BA.5
จากการสืบค้นฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรม ทั้งจีโนมของโควิด-19 โลก โดย GISAID พบโอมิครอน BQ.1 ในประเทศไทยแล้ว 1 คน
นพ.แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กล่าวถึงสาเหตุที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญกังวลใจเกี่ยวกับบรรดาโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ เช่น BQ.1 และ BQ.1.1 เนื่องจาก 2 เหตุผลสำคัญ
โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BQ.1 และ BQ.1.1 มีการเพิ่มจำนวนเป็นเท่าตัว ภายในสัปดาห์เดียวติดต่อกันมาหลายสัปดาห์ ถือว่าสูงมาก
นอกจากนี้ โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BQ.1 และ BQ.1.1 ดื้อต่อยาแอนติบอดีสำเร็จรูปตัวสำคัญที่มีใช้อยู่ เช่น เอวูเชลด์ (Evusheld) และเบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab) ที่ใช้รักษาโควิด-19
ปัจจุบันโอมิครอน สายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ เช่น BQ.1 มีความสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 ตามธรรมชาติหรือภูมิที่ได้จากการฉีดวัคซีนได้ดี
โดยผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน และมีการติดเชื้อโอมิครอน BA.5 จะมีภูมิต้านทานการติดเชื้อโอมิครอน BQ.1 ได้ดีกว่าเล็กน้อย (เนื่องจาก BQ.1 กลายพันธุ์มาจาก BA.5)
เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน และมีการติดเชื้อโอมิครอน BA.2 ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและมีการติดเชื้อโอมิครอน BA.1 และผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแต่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาก่อนตามลำดับ
ดังนั้นการใช้วัคซีนเจเนอเรชัน 2 ที่ใช้ส่วนหนามกับ BA.5 เป็นตัวกระตุ้นน่าจะยังสามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ BQ.1 และ ฺBQ.1.1 ในร่างกายของผู้ติดเชื้อได้เนื่องจาก BQ.1 และ ฺBQ.1.1 กลายพันธุ์มาจาก BA.5 จึงมีส่วนหนามคล้ายกัน
เหตุผล BQ.1 เชื้อแพร่เร็ว-ดื้อยา
นอกจากนี้โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ ยังดื้อต่อยาแอนติบอดีสำเร็จรูป เจเนอเรชันแรก เป็นส่วนใหญ่ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาแอนติบอดี ค็อกเทลเจเนอเรชันสอง สำหรับรักษาผู้ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่
แอนติบอดี ค็อกเทล เจนเนอเรชั่นสอง เช่น SA55+SA58 สามารถเข้าจับและทำลายโอมิครอนได้ทุกสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1/BA.2, BA.4/BA.5 จนมาถึงสายพันธุ์ย่อยล่าสุด BQ.1, BQ.1.1, XBB
โอมิครอน BQ.1 มีการกลายพันธุ์ บริเวณส่วนหนามที่สำคัญคือ K444T, L452R, N460K, และ F486V ซึ่งทำให้หลบภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อตามธรรมชาติหรือได้จากการฉีดวัคซีนได้ดี
ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ติดเชื้อ BQ.1 จำนวน 5.7% ของโอมิครอนสายพันธุ์ต่างๆ ที่ระบาดหากคิดรวม BQ.1.1 (กลายพันธุ์เพิ่มจาก BQ.1 อีกหนึ่งตำแหน่ง คือ R346T จะมีผู้ติดเชื้อ BQ.1 และ BQ.1.1 รวมกัน 11.4%
ทั้งนี้ คาดว่าสายพันธุ์ย่อยทั้ง 2 จะมาแทนที่ BA.4.6 ที่ระบาดในประเทศถึง 12.2% แต่ขณะนี้ BA.4.6 มีปริมาณการเพิ่มจำนวนที่คงตัว ในขณะที่โอมิ ครอน BA.5 ในสหรัฐอเมริกา ลดจำนวนลงเหลือเพียง 67.9%
คาดการณ์ BQ.1 แทนที่ BA.5 สิ้นปีหรือต้นปี 66
นอกจากนี้ BQ.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด เหนือกว่า BA.5.2 เกือบ 15% ต่อวัน ในขณะที่ BQ.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดเหนือกว่า BA.2 ประมาณ 14% ต่อวัน
บ่งชี้ว่า BQ.1 น่าจะเจริญเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วกว่า ส่งผลให้แพร่ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว และน่าจะเข้ามาแทนที่ BA.5 ได้ภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปี 2566
แม้โอมิครอน BQ.1 และ BQ.1.1 จะมีการกลายพันธุ์หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าโอมิครอน BQ.1 และ BQ.1.1 ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรง และมีจำนวนผู้เสียชีวิตแตกต่างไปจากโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
การรักษาอาจต้องใช้ยาแอนติบอดี ค็อกเทล เจเนอเรชันสอง ที่เข้าจับหนามของอนุภาคไวรัสบริเวณที่ไม่มีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลง สามารถใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ติดเชื้อโอมิครอนทุกสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1/BA.2, BA.4/BA.5 จนมาถึงสายพันธุ์ย่อยล่าสุด BA.2.75.2, BQ.1, BQ.1.1, และ XBB
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ด่วน! พบโควิดสายพันธุ์ XBB-BF.7 ในไทยรวม 4 คน