เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2565 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ประชาชนในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกลางเทอม หลังจากมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าไปแล้วมากกว่า 46 ล้านคนตามข้อมูลจาก U.S. Election Project
การเลือกตั้งกลางเทอมจะเป็นตัวตัดสินว่าพรรคใดจะครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เปิดให้ชิงชัยทั้งหมด 435 ที่นั่ง ซึ่งพรรคการเมืองที่คว้าที่นั่งอย่างน้อย 218 ที่นั่ง จะได้ครองเสียงข้างมาก
ส่วนวุฒิสภาเปิดโอกาสให้เลือกตั้งใหม่จำนวน 35 ที่นั่ง จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง หรือคิดเป็นราว 1 ใน 3 โดยพรรคการเมืองใดที่คว้าที่นั่งอย่างน้อย 51 ที่นั่ง จะได้ครองเสียงข้างมาก
ปัจจุบันทั้ง 2 พรรคการเมืองมีที่นั่ง ส.ส. ทิ้งห่างกันไม่มากนัก พรรคเดโมแครตมี 222 ที่นั่ง ในขณะที่พรรครีพับลิกันมี 213 ที่นั่ง ส่วน ส.ว. ปัจจุบันทั้ง 2 พรรคการเมืองมี 50 เก้าอี้เท่ากัน จึงต้องชี้ขาดด้วยเสียงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานะประธานวุฒิสภา
หลังเปิดคูหา ภาพรวมการเลือกตั้งกลางเทอมเป็นไปด้วยความสงบ มีปัญหาติดขัดเล็กน้อยบางจุด เช่น หน่วยเลือกตั้งในมหานครนิวยอร์ก เปิดช้ากว่ากำหนดประมาณ 20 นาที หลังจากการจัดส่งโต๊ะ เก้าอี้และอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งล่าช้ากว่ากำหนด
ขณะที่ใน Maricopa County แอริโซนา พบว่า เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 20% ของหน่วยเลือกตั้งแถบนี้ขัดข้อง จนเป็นประเด็นในโลกออนไลน์ แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีระบบรองรับ โดยหากเครื่องขัดข้องผู้ใช้สิทธิสามารถนำบัตรไปใส่ยังกล่องพิเศษ ซึ่งจะนำไปนับคะแนนด้วยมือแทน และมีผู้แทนจากทั้ง 2 พรรคการเมืองร่วมสังเกตการณ์ใกล้ชิด
"ทรัมป์" สงวนท่าทีลงชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ รอบ 2
ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมด้วยเมลาเนีย ทรัมป์ อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ปรากฏตัวที่ Palm Beach ฟลอริดา เพื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
อดีตผู้นำสหรัฐฯ ยังโพสต์ข้อความบนแอปฯ Truth Social ของตัวเอง ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดีทรอยต์แย่มาก มีผู้ไปใช้สิทธิที่เดินทางไปถึงหน่วยเลือกตั้ง แต่กลับได้รับแจ้งว่าพวกเขาได้ลงคะแนนล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอีกหลายที่และทรัมป์ขอให้ผู้คนออกมาประท้วง
แม้ว่าการเลือกตั้งกลางเทอมนี้ชื่อของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ได้ปรากฏขึ้นในฐานะผู้สมัคร แต่อิทธิพลของเขาต่อการเลือกตั้งครั้งนี้นับว่ามีสูงมาก นอกจากผู้สมัครจำนวนกว่า 200 คนจากรีพับลิกัน จะใช้เสียงสนับสนุนของทรัมป์เป็นจุดขายซื้อใจประชาชน ตัวของเขาเองก็สร้างกระแสกับการจ่อประกาศข่าวสำคัญในสัปดาห์หน้า ซึ่งข่าวใหญ่ของทรัมป์อาจเป็นการประกาศตัวลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในการเลือกตั้งสมัยหน้าปี 2024 หรือไม่
แต่การที่อดีตผู้นำสหรัฐฯ ที่ทำให้สังคมอเมริกันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนที่สุดยังสงวนท่าที อาจสะท้อนว่าเขาไม่มั่นใจว่าการลงชิงเก้าอี้ผู้นำรอบ 2 จะส่งผลอย่างไรต่อศึกเลือกตั้งกลางเทอม ที่พรรครีพับลิกันต้องการจะช่วงชิงเสียงข้างมากในสภาคองเกรส เพราะการประกาศชิงเก้าอี้ผู้นำของทรัมป์อาจเป็นดาบสองคม เนื่องจากฐานเสียงรีพับลิกันสายกลาง กับกลุ่มประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใด อาจจะหันไปเทคะแนนให้เดโมแครตแทน
ผลการเลือกตั้งกลางเทอมนี้จะเป็นตัวชี้วัดคะแนนนิยมในตัวทรัมป์เช่นกัน ในลักษณะไม่ต่างจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน หากบรรดาผู้สมัครที่ทรัมป์หนุนหลังทำคะแนนได้ดี เส้นทางของเขาสู่การเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยหน้าคงโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่หากไม่เป็นแบบนั้น ทรัมป์อาจต้องมีคู่แข่งแย่งตำแหน่งตัวแทนพรรคในปี 2024
สำหรับผู้ที่ถูกจับตามองว่าน่าจะชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกัน มีทั้ง Mike Pence อดีตรองประธานาธิบดีของทรัมป์ และ Ron DeSantis ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา
"ไบเดน" ยอมรับเจอศึกหนักเลือกตั้งกลางเทอม
ขณะที่ผลสำรวจคะแนนนิยมของไบเดน เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ลดลงอยู่ที่ 43% แต่จากผลสำรวจเดียวกันนั้นพบว่ามีเพียง 25% ที่รู้สึกว่าประเทศกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ส่วนการผลสำรวจความคิดเห็นจากเว็บไซต์ FiveThirtyEight ชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ประมาณ 46.9% เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในการเลือกตั้งเป็นอันดับแรก
เช่นเดียวกับ 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามของ The Wall Street Journal มองว่า พรรครีพับลิกันรับมือปัญหาเงินเฟ้อได้ดี
ขณะที่ไบเดนก็ตระหนักกับเรื่องนี้ โดยยอมรับว่า เดโมแครตอาจรักษาเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรไว้ได้ยาก แต่สำหรับวุฒิสภาคาดว่าจะรักษาไว้ได้ ซึ่งผลการเลือกตั้งอาจยังไม่ทราบได้ในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะรัฐจอร์เจียที่อาจจะยาวไปถึงเดือน ธ.ค.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สหรัฐฯ เลือกตั้งกลางเทอม "ไบเดน" ชี้มีประชาธิปไตยเป็นเดิมพัน