วันนี้ (9 พ.ย.2565) นายธนา เธียรอัจฉริยะ อดีตผู้บริหาร จีเอ็มเอ็ม แซท (GMMZ) เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก "เขียนไว้ให้เธอ" ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เขียนไว้ถึงสาเหตุของการเพิ่มกฎ Must Have ที่เป็นสาเหตุของการทำให้เอกชนไม่อยากลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกในครั้งนี้ โดยมีเนื้อหาดังนี้
บอลโลก 2022 ที่กาตาร์กำลังถึงกำหนดจะฟาดแข้งอาทิตย์หน้าแล้ว ไทยยังเป็นชาติเดียวในอาเซียนที่ยังไม่มีใครไปซื้อลิขสิทธิ์ มีแนวโน้มว่าเราอาจจะอดดูหรือต้องไปมุดดูตามลิงก์ต่าง ๆ เอามีสูงมาก
ถึงตอนนี้กระแสบอลโลกยังไม่แรงเลย โปรโมชันขายทีวีที่เคยคึกคักก็ดูหงอย เพราะจนป่านนี้ยังไม่มีเจ้าภาพ เจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่มาบิ๊วมาโปรโมท เวลาถ่ายทอดสดที่กาตาร์เป็นเวลาที่ดีมากสำหรับห้างร้าน ผับ บาร์ แต่พอไม่มีเจ้าภาพ ทุกอย่างก็ดูเงียบสงัดไปหมด ร้านอาหารอยากทำแคมเปญก็ไม่รู้จะไปติดต่อใคร
ว่ากันว่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่ไทยจะต้องซื้ออาจจะสูงถึง 1,600 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย การลงทุนซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายของเอกชน โอกาสขาดทุนน่าจะสูงลิบ เลยยังไม่มีใครกล้าลงทุนในสภาวะแบบนี้ จนรัฐต้องอาจจะควักออกเองแต่ก็เป็นดรามาอยู่ดีถึงความเหมาะสมถึงกองทุนหรือ งบประมาณรัฐ
ล่าสุด กสทช.เพิ่งมีข่าวว่าจะช่วยควักแค่ 600 ล้านบาท คำถามตามมาว่า ถ้าราคามันเกือบ 2,000 ล้านบาท แล้วที่เหลือใครจะควัก ดูอลหม่านปนวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ถามว่าเหตุปัจจัยที่ทำให้เราติดกับดักตัวเองจนถึงกับไม่มีใครถ่ายบอลโลกนี่เกิดจากอะไร
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 ผมเป็นหนึ่งในตัวละครหลักในการเกิดเหตุการณ์จอดำของการถ่ายทอดสดบอลยูโรในปีนั้น เนื่องจากผมได้เข้าไปรับตำแหน่งเป็นหัวหอกในการสร้างกล่องสัญญาณดาวเทียม GMMZ ของแกรมมี่ ซึ่งในตอนนั้นแผนการใหญ่ของเจ้านายผมก็คือการทุ่มซื้อลิขสิทธิ์บอลยูโรมาเป็นแม่เหล็กในการขายกล่องดาวเทียม วิธีการคิดก็คงคล้ายกับ Netflix HBO อะไรสมัยนี้ ก็คือ Only at GMM Z มีคอนเทนต์แม่เหล็กที่ดึงคนมาซื้อกล่องและจ่ายรายเดือน เล่าในสมัยนี้ก็ดูไม่เห็นจะแปลกอะไร
แต่ในตอนนั้นความถูกต้องไม่อาจสู้ความถูกใจได้ คนเคยดูบอลฟรีจนชิน พอแกรมมี่ได้ลิขสิทธิ์มาและจะใช้เพื่อโฆษณากล่องว่า ดูบอลยูโรได้เฉพาะที่เรา Only at GMM Z พอประกาศก็โดนถล่มอย่างหนักจากทุกสารทิศ
ทั้งความไม่พอใจของคนเคยดูบอลฟรีมาตลอด ตอนหลัง ๆ ดูฟรีทีวีผ่านดาวเทียมหรือ เคเบิ้ล อยู่ดี ๆ จะต้องซื้อกล่องก็ไม่พอใจ ทั้งคู่แข่งที่เสียประโยชน์โดยเฉพาะดาวเทียมและเคเบิลก็ใช้ทุกวิถีทาง
ทั้งกระแสกดดัน ผ่านคนอยากดูและผ่านกระบวนการรัฐในทุกด้าน เพื่อให้เปิดถ่ายทอดสดทุกช่องทางให้ได้ ตอนนั้นก็ต่อสู้กันทั้งด้านกฏหมาย
ด้านสว่างคือเดินสายไปแทบทุกช่องทีวี ด้านใต้โต๊ะก็ถูกชกใต้เข็มขัดผ่านนักการเมืองที่มีอำนาจในสมัยนั้น
จนกระทั่งเราต้องยอมเขียนจดหมายไปยูฟ่าแล้วทางโน้นเขาไม่ให้เปิด เรื่องยืดเยื้อจนรอบชิงชนะเลิศก็จบกันไป แต่เป็นเหตุการณ์ที่ผมโดนด่ามากที่สุดในชีวิต
บทเรียนส่วนตัวของเรื่องนี้ที่ผมจำจนวันนี้ก็คือ วันนึงตอนที่โดนถล่มหนัก ๆ ผมต้องออกไปชี้แจงเยอะมาก และก็มั่นใจในสิทธิ์สัญญาที่มี ก็ไปเถียง ยิ่งเถียงยิ่งโดน พี่เล็ก บุษบา ดาวเรืองแห่งแกรมมี่ นั่งฟังอยู่ด้วยก็เตือนสติผมว่า ในโลกนี้ มีถูกต้องกับถูกใจ บางทีความถูกต้องก็ไม่ถูกใจคน
ผมต้องลองมองมุมที่จะทำให้ถูกใจคนด้วย ก็เป็นซาโตริของผมในเรื่องนี้ที่จำจนวันนี้ เวลาออกไปชี้แจงก็จะคิดเรื่องว่าจะรักษาความถูกต้องและพูดให้พอถูกใจคนคู่กันไปด้วย ก็พยายามตีกรรเชียงจนเรื่องจบ
สุดท้าย แกรมมี่ ต่อสู้จนจบก็บาดเจ็บไม่น้อยทั้งชื่อเสียง และขาดทุนไปหลายสิบล้าน และก็เป็นปฐมเหตุให้ กสทช.ในตอนนั้น ไปออกกฎเอาใจมวลชนด้วยกฎ Must Have ในปีนั้น โดยมีหลักการว่า ถ้าใครได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดที่อยู่ในข่ายก็จะต้องเปิดให้ทุก Plattform ใช้ได้ ประชาชนทุกคนต้องได้ดู ห้ามปิดกั้นให้อยู่แต่เฉพาะแพลตฟอร์มของตัวเอง ซึ่งในกฎ กสทช.มีกีฬาอยู่ 7 ประเภท ซึ่งในที่สุด ก็ไม่ได้รวมฟุตบอลยูโรไป ด้วยแต่มีบอลโลกอยู่ในลิสต์นั้น
ที่น่าสังเกตก็คือ กีฬา 6 ประเภทแรกที่มีโอลิมปิก ซีเกมส์ รวมอยู่ด้วยนั้นมีนักกีฬาไทยไปแข่งด้วย แต่ฟุตบอลโลกนี่เรายังไม่มีความใกล้เคียงใด ๆ ในการมีส่วนร่วม
การเขียนเหมารวมฟุตบอลโลกที่ทั้งไม่มีนักกีฬาไทยไปแข่งและราคาแพงมาก ก็เลยทำให้จะใช้เงินกองทุนรัฐก็อิหลักอิเหลื่อ จะหาเอกชนมาลงทุนก็ทำได้ยาก เอาแค่ไม่มีกฏ Must Have ก็ยังดูแล้วยากมาก ๆ ที่จะมีใครลงทุนในยามเศรษฐกิจเป็นแบบนี้
คุณเบลล์ ขอบสนามเขียนใน FB ไว้โดยการคำนวณเล่น ๆ ไว้ว่า ถ้าใครซื้อลิขสิทธิ์มา 1,600 ล้านบาท ขายรายเดือนละ 399 บาท ยังต้องมีคนสมัครระดับ 5 ล้านคนถึงจะคุ้มทุน (ผมคิดว่าต้อง 6 ล้านคนด้วยซ้ำเพราะมีต้นทุนการออกอากาศ โฆษณา ฯลฯ Netflix นี่สมาชิกยังไม่ถึงล้านเลยนะครับ ของเถื่อนดูดไปดูฟรีกันก็เต็มไปหมด)
ยิ่งซื้อมาแล้วถูกบังคับให้ออกอากาศฟรีทีวีด้วยก็ยิ่งไม่มีทางคุ้มทุนได้เลย แถมต่างประเทศโดยส่วนใหญ่สปอนเซอร์ก็จะเป็นเหล้าเบียร์ แต่บ้านเราก็ห้ามกลุ่มนี้โฆษณาซ้ำไปอีก
คุณเบลล์เขียนใน FB ต่อด้วยว่า พฤติกรรมคนบ้านเราส่วนใหญ่ยึดติดกับคำว่าฟรีมาแต่ไหนแต่ไร เราอาจจะต้องเข้าใจว่ามันผ่านยุคฟุตบอลโลกที่ฟรีนั้นมาแล้ว ยุคนี้คือ อยากดูต้องจ่าย เหมือนกับที่เราจ่าย Netflix Amazon Youtube Premium กันในวันนี้
คุณเดียว วรตั้งตระกูล แห่งช่องวัน คำนวณเล่น ๆ ว่า ถ้าฟรีทีวีซื้อลิขสิทธิ์มา 1,600 ล้านบาท คือ คู่ละ 25 ล้านบาท ต้องขายโฆษณานาทีละ 1 ล้านบาทถึงจะเจ๊า
ในขณะที่ละครเรตติ้งดี ๆ ยังขายกัน 100,000 บาท - 200,000 บาท ไม่ว่าคิดมุมไหนก็ยาก แล้วยิ่งบวกกับกฎ Must Have ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผล นั่นจึงเป็นตะปูตอกฝาโลงภาคเอกชนอย่างสมบูรณ์
เงินภาครัฐก็เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันถึงความเหมาะสมกันอย่างอื้ออึงเพราะไทยไม่ได้ไปแข่งบอลโลกกะเขาซักหน่อย ควรใช้เงินทางอื่นที่มีประโยชน์กับประเทศจะดีกว่าหรือไม่ และล่าสุดถึงแม้จะ กสทช.จะควักจำนวนหนึ่งแต่ก็ยังขาดอีกมาก
ไม่น่าเชื่อว่า ผลกระทบจากบอลยูโร 2012 เมื่อ 10 ก่อนจะถึงกับทำให้เราอาจจะอดดูบอลโลกในอีก 10 ปีต่อมาได้
แต่อย่างไรก็ตามในฐานะแฟนบอลตัวยง ก็ยังแอบลุ้นอยู่ลึก ๆ ว่า จะมีโอกาสได้ดูบอลโลกในอาทิตย์หน้า
แต่ถ้าเกิดจับพลัดจับผลูอดดูไป ก็หวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาแก้ไขกฏล้าสมัยที่ลองแล้วทำให้เราอดดูบอลและทำให้ค่าลิขสิทธิ์ขึ้นไปจนต่างชาติโขกสับเราได้ออกไปเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะได้ไม่พลาดบอลโลกในปี 2026 อีกนะครับ