วันนี้ (10 พ.ย.2565) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล" เปิดเผยข้อมูลว่า จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโอมิครอน XBB หนึ่งในสมาชิกกลุ่มซุปโอมิครอน (A soup of omicron subvariants) พบมีกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 ดั้งเดิม (อู่ฮั่น) มากที่สุดคือมากกว่า 100 ตำแหน่ง โดยมีการผสมจีโนมบางส่วนที่สร้างหนามแหลม(recombination) ของโอมิครอนสองสายพันธุ์ย่อย คือ BJ.1 และ BM.1.1.1 เข้าด้วยกัน
และจากการคำนวณร่วมกับการทดลองในห้องปฏิบัติการบ่งชี้ว่า ส่วนหนามแหลมที่มีการผสมผสานตำแหน่งกลายพันธุ์ของ BJ.1 และ BM.1.1.1 เข้าด้วยกัน ช่วยให้โอมิครอนลูกผสม XBB สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันและแพร่ติดต่อได้ดีเป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งดื้อต่อยาฉีดแอนติบอดีสำเร็จรูปเกือบทุกประเภท
จากฐานข้อมูลโควิดโลก (GISAID) พบสายพันธุ์ย่อย XBB มีการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิดสมาชิกย่อยขึ้นมากมาย คือ
XBB.1.1 (30.56%)
XBB.1 (23.23%)
XBB (22.95%)
XBB.3 (12.43%)
XBB.2 (6.34%)
XBB.5 (2.58%) กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 ดั้งเดิม (อู่ฮั่น) มากที่สุด คือมากกว่า 120 ตำแหน่ง
XBB.3.1 (0.78%)
XBB.1.3 (0.60%)
XBB.4 (0.32%)
XBB.1.2 (0.21%)
จากฐานข้อมูล GISAID เช่นกันพบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB ระบาดไปทั่วโลก เช่น สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เดนมาร์ก แคนาดา อิสราเอล มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ฯลฯ ยังไม่พบในประเทศไทย
- สิงคโปร์ 980 ราย (10.849 %)
- อินเดีย 563 ราย (1.622%)
- ออสเตรเลีย 227 ราย (0.436%)
- สหรัฐ 197 ราย (0.026%)
- ประเทศอังกฤษ 122 ราย (0.078%)
- ออสเตรีย 112 ราย (0.157%)
- เดนมาร์ก 111 ราย (0.125%)
- บังกลาเทศ 88 ราย (17.495%)
- บรูไน 52 ราย (3.002%)
- อิสราเอล 48 ราย (0.085%)
- เยอรมนี 38 ราย (0.022%)
- แคนาดา 34 ราย (0.040%)
- ญี่ปุ่น 33 ราย (0.022%)
- เบลเยียม 27 ราย (0.094%)
- เกาหลีใต้ 22 ราย (0.058%)
- ฟิลิปปินส์ 20 ราย (0.509%)
- มาเลเซีย 19 ราย (0.224%)
- อินโดนีเซีย 18 (0.132%)
- ฝรั่งเศส 16 ราย (0.015%)
- สวีเดน 12 ราย (0.046%)
- เนเธอร์แลนด์ 11 ราย (0.047%)
- อิตาลี 11 ราย (0.046%)
- สวิตเซอร์แลนด์ 10 ราย (0.081%)
- ฮ่องกง 10 ราย (0.400%)
- กัมพูชา 1 ราย (0.197%)
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ อธิบายอีกว่า ไวรัสโคโรนา 2019 ลูกผสมเกิดขึ้นสืบเนื่องจากในร่างกายผู้ติดเชื้อมีการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สองสายพันธุ์พร้อมกัน เช่นในกรณีของ “เดลตาครอน” ซึ่งเกิดเป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ “เดลตา” และ “โอมิครอน” เนื่องมาจากในขณะที่มีการสร้างสายจีโนมของลูกหลานไวรัสในเซลล์ติดเชื้อมี “การสร้างจีโนมสายใหม่ข้ามสายจีโนม [template (genome) switching]” ที่ไวรัสใช้เป็น แม่พิมพ์ต้นแบบ หากในเซลล์นั้นมีไวรัสโคโรนา 2019 เพียงสายพันธุ์เดียวก็ยังเกิด“การสร้างจีโนมสายใหม่ข้ามสายจีโนม” ได้เช่นกันแต่จะไม่เกิดสายพันธุ์ลูกผสมขึ้น
ตรงข้ามหากในร่างกายของผู้ติดเชื้อมีการติดเชื้อ 2 สายพันธุ์ย่อยขึ้นไป โอกาสที่จะเกิดการสร้างจีโนมสายใหม่สลับสายจีโนมจนเกิดเป็นไวรัสลูกผสมจะมีสูงขึ้นโดยเฉพาะในการระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ที่ย่างเข้าปีที่ 3 ซึ่งเกิดมีโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติขึ้นพร้อมกันมากกว่า 200 สายพันธุ์ย่อย หรือที่เรียกว่า ซุปโอมิครอน (Omicron soup)
การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อ 2 ปีที่แล้วมีโอกาสจะเกิดสายพันธุ์ลูกผสมได้ยากเพราะการติดเชื้อจะเป็นทีละตระกูลที่ระบาดไปทั่วโลก จากนั้นจะถูกแทนที่ด้วยอีกตระกูลหนึ่ง กล่าวคือ อัลฟา ถูกแทนที่ด้วย เบตา จากนั้น เบตาถูกแทนที่ด้วยแกมมา เดลตา และ โอมิครอน ตามลำดับ แต่ปีที่ 3 เรากลับพบว่าการเกิดโอมิครอนลูกผสมขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดมิให้ลูกผสมเหล่านี้กลายพันธุ์จนเกิดเป็นตระกูลใหม่ที่ต่างไปจากตระกูลโอมิครอน ซึ่งยากที่จะทำนายว่าตระกูลใหม่ที่จะอุบัติขึ้นมาจากสายพันธุ์ลูกผสมจะมีการติดเชื้อที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้นหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฟังคำอธิบายนักไวรัสวิทยาเรียกโควิด "ซุปโอมิครอน"