ย้อนอดีตดาราดัง “ชอยอินฮี” และผู้กำกับ “ชินซังโอก” คู่สามีภรรยาถูกลักพาตัวโดยผู้นำเกาหลีเหนือ
หลังจากได้รับการติดต่อให้มาร่วมงานในโปรเจ็คท์หนังใหญ่ที่ฮ่องกง ชอยอินฮี นางเอกค้างฟ้าของเกาหลีใต้ก็เดินทางมาติดต่องานเพียงลำพัง โดยไม่รู้เลยว่านี่คือครั้งสุดท้ายในรอบหลายปีที่จะได้กลับไปเยือนบ้านเกิดในเกาหลีใต้ เมื่อเธอถูกคนของทางการเกาหลีเหนือลักพาตัว ซึ่งการหายตัวไปของภรรยา ทำให้ ชินซังโอก ผู้กำกับในอีกฐานะคือสามี เดินทางมาตามหาตัวเธอถึงฮ่องกงก่อนถูกลักพาตัวไปเช่นกัน นี่คือชะตากรรมของ ชอยอินฮี นักแสดงคนดังของเกาหลีใต้ ที่กลับมารำลึกถึงชีวิตอันผกผันในหนังสืออัตชีวประวัติ The Extraordinary True Story of a Kidnapped Filmmaker
ชอยอินฮี ถูกลักพาตัวโดยเกาหลีเหนือครั้งแรกในปี 1950 ในช่วงที่กองทัพโสมแดงเข้ามายึดกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ โดยช่วงนั้นเธอต้องทำการแสดงสร้างความบันเทิงให้กับกองทัพเกาหลีเหนือในเวลากลางวัน และต้องเข้ารับการปรับเปลี่ยนทัศนคติในเวลากลางคืน ก่อนที่เธอจะเป็นอิสระเมื่อกองทัพโสมแดงต้องล่าถอนเมื่อกองกำลังโสมขาวเข้ายึดที่มั่นได้สำเร็จ
หลังจากกลายเป็นนักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์ ในอีก 28 ปีต่อมา ชอยอินฮีถูกเกาหลีเหนือลักพาตัวอีกครั้ง ตามคำสั่งของ คิมยองอิล อดีตผู้นำโสมแดง ที่ต้องการให้เธอและชินซังโอก สามีช่วยพัฒนาวงการภาพยนตร์เกาหลีเหนือ โดยช่วงเวลาที่ถูกกักตัวถึง 8 ปี ชินซังโอก ได้ร่วมผลิตหนังกับคิมยองอิลถึง 8 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือ Pulgasari หนังกอซซิลล่าที่ประสบความสำเร็จจากการฉายทั้งในเกาหลีเหนือและญี่ปุ่น ส่วน ชอยอินฮี ยังคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์มอสโคจกาเรื่อง salt เมื่อปี 1985
แม้ทั้งคู่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเกาหลีเหนือ แต่ทั้งสองก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหนี เมื่อทั้งสองได้รับอนุญาติจาก คิมยองอิล ให้ไปร่วมเทศกาลภาพยนตร์ที่ออสเตรีย คู่สามีภรรยาจึงใช้โอกาสดังกล่าวในการคิดแผนหลบหนี โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนนักข่าวชาวญี่ปุ่น ที่ช่วยหาแท็กซี่พาตัวทั้งสองไปส่งยังสถานทูตสหรัฐในกรุงเวียนนา ซึ่ง ชอยอินฮี รำลึกว่าทันทีที่เธอคนในสถานทูตชูป้าย welcome to the west เธอก็ต้องหลั่งน้ำตาด้วยความยินดีต่ออิสรภาพที่รอคอยมานาน
ชอยอินฮี ในวัย 88 ปี ซึ่งกำลังรักษาตัวด้วยโรคเกี่ยวกับไตในโรงพยาบาลกล่าวว่า วันนี้เธอให้อภัยการกระทำของผู้นำเกาหลีเหนือที่ทำการลักพาตัวเธอ เพราะเข้าใจแรงปรารถนาของคิมยองอิลในการพัฒนาวงการภาพยนตร์ในประเทศของเขา แต่เธอก็ยังไม่เห็นด้วยกับวิธีการปกครองประเทศด้วยวิธีเผด็จการเช่นนั้น ซึ่งประสบการณ์ที่ต้องเปิดการแสดงรับใช้กองทัพทั้งสองฝ่ายในสมัยสงครามเกาหลีถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำพอๆ กัน และเธอหวังว่าความขัดแย้งที่แบ่งคนทั้งสองชาติเพราะอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันเช่นนั้น จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
อย่างไรก็ดี ชอยอินฮี ยอมรับว่าในสมัยที่เกาหลีใต้ถูกปกครองภายโดยปาร์คชอนฮี มีการใช้มาตรการควบคุมสื่อภาพยนตร์อย่างสูง แต่เธอก็เข้าใจว่าเป็นแรงปราถนาของอดีตผู้นำที่ต้องการพัฒนาประเทศ ต่างจากนักการเมืองทุกวันนี้ที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก