นับตั้งแต่ที่ชาวยุโรปได้เดินทางเข้ามาตั้งรกรากและแสวงหาผลประโยชน์ในทวีปอเมริกา เมื่อราว 500 กว่าปีที่แล้ว พวกเขาก็ได้ค้นพบว่า ณ ทวีปแห่งนี้เคยมีอารยธรรมโบราณที่ยิ่งใหญ่อยู่มาแต่ก่อน ซึ่งนั่นก็คืออารยธรรม "มายา" อารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองมาอย่างยาวนานระหว่างช่วง ศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสตกาล จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 รวมเป็นเวลาทั้งสิ้นกว่า 3,200 ปี
แต่ทว่าเราก็กลับแทบไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวมายามากเท่าที่ควร เนื่องจากอารยธรรมมายาได้เนื่องจากอารยธรรมมายา ในขณะที่ป่าดงดิบของอเมริกากลางก็ได้ชอนไช เข้าไปปกคลุมเมืองโบราณของชาวมายาไว้อย่างหนาแน่น จนยากที่จะเดินทางฝ่าผืนป่าเข้าไปสำรวจได้ทุกตารางนิ้ว
ดังนั้นเทคโนโลยีสำรวจด้วยแสงเลเซอร์สามมิติ LIDAR จึงได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยใช้วิธีนำแสงช่วงคลื่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอัลตราไวโอเลต แสงที่สายตามองเห็นได้ หรืออินฟราเรดช่วงใกล้ก็ตาม มาใช้ตรวจจับแยกแยะความแตกต่างระหว่างวัสดุที่ไม่ใช่โลหะแทบจะทุกประเภท ซึ่งชาวมายาโบราณนั้นมักใช้หินปูนในการก่อสร้างเป็นหลัก
ทางนักโบราณคดีกับนักวิทยาศาสตร์จึงได้ร่วมมือกันติดตั้งอุปกรณ์ LIDAR ลงบนเครื่องบินสำรวจขนาดเล็ก เพื่อใช้ในการสำรวจป่าดงดิบของอเมริกากลางมาตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา
จนกระทั่งในปัจจุบัน นักโบราณคดีก็ได้ค้นโครงสร้างจากฝีมือมนุษย์มากกว่า 60,000 แห่ง กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ ถึงขนาดที่ว่าบางเมืองโบราณที่อุปกรณ์ LIDAR เคยค้นพบนั้นมีตึกรามบ้านช่องมากเสียยิ่งกว่า เกาะแมนฮัตตัน ของมหานครนิวยอร์กเสียอีก ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงความเข้าใจต่อมนุษย์สมัยใหม่ไปตลอดกาล ว่าอารยธรรมของชาวมายานั้น ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรกว่าที่เราคิดไว้มาก
หากไม่มีเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่อย่าง LIDAR นี้แล้ว เราก็คงไม่สามารถค้นพบเรื่องราวสุดน่าทึ่งนี้ได้เลย
ที่มาข้อมูล: Reuters
ที่มาภาพ: National Geographic/Wild Blue Media
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech