วันนี้ (17 ม.ค.2566) ที่ศาลอาญาธนบุรี ถ.เอกชัย ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีพริตตี้ "ลัลลาเบล" เสียชีวิต ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 2 เป็นโจทก์ และมารดาของ น.ส.ธิติมา หรือ ลัลลาเบล ผู้ตาย เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายรัชเดช หรือ น้ำอุ่น อายุ 27 ปี จำเลยที่ 1, นายชัยพล หรือ คิว พรรณนา อายุ 30 ปี เจ้าของงานปาร์ตี้บ้านบางบัวทอง จำเลยที่ 2, นายนที หรือ ตี๋ อายุ 34 ปี จำเลยที่ 3, น.ส.พิกุลทอง หรือ เฟิร์ส อายุ 25 ปี แฟนสาวของคิว จำเลยที่ 4, นายกฤษฎา หรือ โนบิ อายุ 28 ปี จำเลยที่ 5, นายโกเศศ หรือ ปิงปอง อายุ 36 ปี จำเลยที่ 6
ในความผิดฐานเป็นซ่องโจร, พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใดๆ, กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้, หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210, 213, 278, 284, 310 ประกอบมาตรา 83, 91 โดยมารดาผู้ตายได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งหก ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วย
โจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2562 จำเลยทั้ง 6 คน สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยรู้เห็นเป็นใจและตกลงกันเพื่อให้มีงานเลี้ยงโดยมีการดื่มสุรา ที่บ้านหลังหนึ่งใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี แล้วจ้างพริตตี้ลัลลาเบล ผู้ตาย ให้มาเป็นพริตตี้ชงเหล้า ร่วมเต้นรำและร่วมดื่มสุรา โดยจำเลยทั้งหกมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ น.ส.ธิติมา ดื่มสุราจนเมาและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้ว
นายรัชเดช จำเลยที่ 1 ได้พาพริตตี้ลัลลาเบลที่อยู่ในภาวะมึนเมา โดยใช้กำลังประทุษร้ายไปอนาจาร อุ้มออกจากบ้านหลังดังกล่าวไปขึ้นรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แล้วพาไปที่ห้องพักคอนโดฯ ย่านดาวคะนอง โดยพริตตี้ลัลลาเบลอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เป็นเหตุให้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายและถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันสนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ
คดีนี้ ศาลาญาธนบุรีเห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกันโดยมีเจตนาเพื่อกระทำอนาจารและล่วงละเมิดในทางเพศผู้ตาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด จำคุก 8 ปี
ส่วนจำเลยที่ 2-6 เป็นผู้สนับสนุนให้นายรัชเดช จำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าว ให้จำคุกคนละ 5 ปี 4 เดือน และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่มารดาผู้ตาย โจทก์ร่วม จำนวน 748,660 บาทด้วย โดยจำเลยทั้งหมดได้ยื่นอุทธรณ์
โดยวันนี้ (17 ม.ค.) จำเลยทั้งหมดเดินทางมาศาล ขณะที่ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นความผิดจริงตามฟ้อง อุทธรณ์จำเลยที่ 1-4 ฟังไม่ขึ้น จึงยืนคำพิพากษาตามศาลชั้นต้น
ส่วนอุทธรณ์จำเลยที่ 5-6 อ้างว่า ไม่มีส่วนรู้เห็น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นเพียงบุคคลหรือแขกที่ถูกชักชวนไปสังสรรค์ร่วมงานครั้งแรก ไม่ได้ร่วมจัดงาน ดังนั้นพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะชี้ว่าร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1-4 ฐานสนับสนุนฯ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 1-4 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 5-6 ยกฟ้อง
ครอบครัว "ลัลลาเบล" ยอมรับคำตัดสินศาล
ขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ยอมรับคำตัดสินของศาล และจะมีการพิจารณาเรื่องยื่นฎีกากับทนาย เนื่องจากที่ผ่านมามีความเดือดร้อนต้องเลี้ยงดูหลาน และมีรายได้จากการทำขนมขายเท่านั้น แม้จะมีบุคคลภายนอกช่วยเหลือค่าเทอมแต่ก็ไม่เพียงพอ
นายสุรเดช พจน์ยินดี ทนายความของญาติลัลาเบล เปิดเผยว่า เตรียมนำคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยื่นต่อศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่คำนวณไว้กว่า 13 ล้านบาท อาทิ ค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่าย ค่ารักษา ซึ่งจะมีการตกลงค่าเสียหายอีกครั้ง โดยขอให้จำเลยจ่ายเยียวยาเพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้รับการเยียวยา
ด้านทนายความของจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 เปิดเผยว่า สาเหตุที่ศาลยกฟ้อง เนื่องจากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเพียงแขกที่ไปร่วมงานเพียงเท่านั้น ส่วนที่พนักงานสอบสวนยื่นฟ้องทุกคน มองว่าไม่เป็นธรรม เกินกรอบของกฎหมาย ซึ่งสังคมได้เห็นแล้วว่าตนพ้นจากคำครหาทั้งหมด พร้อมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของลัลลาเบล หากต้องการความช่วยเหลือก็ยินดีจะช่วยเหลือเยียวยา และหลังจากนี้จะไปบวชให้กับลัลลาเบลด้วย