วันนี้ (30 ม.ค.2566) ที่โรงแรมซันธารา เวลเนส รีสอร์ท จ.ฉะเชิงเทรา โครงการจัดทำแผนบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อคืนข้อมูลผลการศึกษาความต้องการระดับพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออก เพื่อนำเสนอข้อมูลความต้องการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมระดับพื้นที่ ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
นางชลนภา ชื่นชมรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักกลยุทธ์แผนและงบประมาณ สกสว. กล่าวถึงแผนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2567-2570 ที่มุ่งพลิกโฉมประเทศไทยให้เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ว่า จะเน้นการมีส่วนร่วมและสานพลังกับภาคีเครือข่ายในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม พัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอนาคต และพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง ซึ่ง สกสว.จะนำข้อมูลในพื้นที่มาออกแบบแผน ววน. ด้านต่าง ๆ ให้ตรงเป้าหมายความต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ การศึกษาความต้องการในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออก 1 ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และกลุ่มภาคตะวันออก 2 ประกอบด้วย จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว
พบปัญหายากจน-เหลื่อมล้ำ
ผลการศึกษาจากโครงการปีที่ 1 พบว่าปัญหาสำคัญในภาคตะวันออก คือ ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ รวมถึงขาดทักษะแรงงานที่ตรงกับความต้องการ โดย จ.ระยอง มีอัตราการว่างงานค่อนข้างสูง แม้เศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกจะสร้างรายได้ให้กับประเทศสูงถึงร้อยละ 21.14 ของรายได้ของประเทศ และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ เนื่องจากขึ้นอยู่กับภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก แต่รายได้ของเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารรายเล็กกลับลดลง ประกอบกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีความผันผวนทั้งในประเทศและทั่วโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตผันแปรตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น
อัตราป่วยโรคติดต่อไม่เรื้อรังเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ภาคตะวันออกยังมีอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อไม่เรื้อรังสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงสุดของคนไทย และยังมีสถิติอุบัติเหตุทางถนนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตร้อยละ 26 ของทั้งประเทศในปี 2562
ขณะที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมพบว่า ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำและคุณภาพน้ำไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน พื้นที่ปลูกข้าวนาปรังประสบภัยแล้ง อุทกภัย เนื่องจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงขยะทะเล กากของเสียอุตสาหกรรม และปัญหาป่าชายเลนที่กำลังสูญหายและถูกทำลายจากกิจกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก
ความรุนแรงในครอบครัวสูงใกล้ค่าเฉลี่ยของประเทศ
ส่วนอัตราการเกิดวามรุนแรงในครอบครัว พบว่าอยู่ในระดับสูงกว่าใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของประเทศเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งและความเครียดภายในครอบครัว สภาะทางการเงิน สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการก่ออาชญากรรม ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การดื่มสุราและเสพสิ่งเสพติด การลอกเลียนแบบจากสื่อหรือเห็นตัวอย่างความรุนแรง สภาพจิตใจและร่างกายของคนนครอบครัว การก่ออาชญากรรมและการทำร้ายร่างกายและทรัพย์สิน ความก้าวร้าวในเด็ก โดยภาคตะวันออกนับเป็นพื้นที่ที่อาชญากรรมคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากภาคใต้
สำหรับข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหานี้ คือ การยึดหลักยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึง “บวร บ้าน วัด โรงเรียน” จากการศึกษาปัญหาและความต้องการข้างต้นนำมาสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ การส่งเสริมการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะสามารถยกระดับของสังคม, การส่งเสริมอุตสาหกรรมสะอาด หุ่นยนต์, การส่งเสริมการวิจัยเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า พลังงานชีวภาพ และนวัตกรรมพลังงานทดแทน, การสนับสนุนนวัตกรรมการจัดการขยะ, การมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับการปกป้องและดูแลทรัพย์สินด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสารสนเทศ, การสนับสนุนด้านนวัตกรรมเครื่องจักรหุ่นยนต์ในสถานศึกษาให้มีความเข้มข้นและจริงจัง, การนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในด้านการศึกษา และการจัดตั้งศูนย์กลางความรู้ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางเรียนรู้แลกเปลี่ยนข้อมูล