วันนี้ (13 ก.พ.2566) เจ้าหน้าที่กู้ภัยสวมอุปกรณ์ป้องกันคอให้เด็กหญิงวัย 11 ปี และช่วยพ่อวัย 35 ปี ของเธอออกจากซากอาคารในจังหวัดฮาทัย ทางตอนใต้ของตุรกี จากนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะสวมกอดกันด้วยความดีใจที่ภารกิจประสบความสำเร็จ การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง หลังผู้ประสบภัยติดอยู่ในซากปรักหักพังของอาคารมานานกว่า 140 ชั่วโมง
นอกเหนือจากอุปสรรคในการค้นหาแล้ว เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังต้องทำงานแข่งกับเวลา เนื่องจากผ่านมา 1 สัปดาห์ โอกาสในการพบผู้รอดชีวิตลดลงไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
มีรายงานว่า เกิดการปล้นสะดมตามร้านค้าและธุรกิจต่าง ๆ ในเมืองฮาทัย ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 42 คน ทางการตุรกีจึงต้องส่งทหารติดอาวุธลาดตระเวนเพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอย
เจ้าของกิจการคนหนึ่ง เปิดเผยว่า ร้านของเขาถูกขโมยสินค้า เพราะทางเข้าด้านหลังพังถล่ม ผู้ก่อเหตุขโมยสินค้าและเงินสดในร้านไปถึง 70,000 ลีรา หรือประมาณ 125,000 บาท
ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ทีมกู้ภัยจากอิสราเอลต้องบินด่วนกลับประเทศ เนื่องจากมีข่าวกรองที่เป็นเบาะแสเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยต่อทีมงาน ขณะที่องค์กรความช่วยเหลือจากเยอรมนี 2 ทีม ประกาศระงับภารกิจค้นหาและกู้ภัยชั่วคราว หลังจากมีรายงานปัญหาด้านความปลอดภัย รวมทั้งการปะทะกันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ และเกิดเหตุยิงต่อสู้กัน
เจ้าหน้าที่จากเยอรมนี ระบุว่า จะกลับมาเริ่มปฏิบัติภารกิจอีกครั้งทันทีเมื่อหน่วยงานป้องกันพลเรือนของตุรกีประกาศว่า สถานการณ์กลับสู่ความสงบแล้ว
นอกจากนี้ หน่วยงานบรรเทาภัยพิบัติจากออสเตรียยังได้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ไปช่วงหนึ่งเมื่อที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ทหารตุรกีจะเข้าไปดูแลความปลอดภัยให้กับทีม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาจากกองทัพออสเตรีย 82 นาย
ส่วนทางการสวิตเซอร์แลน ระบุว่า กำลังติดตามสถานการณ์ความปลอดภัยในฮาทัย และได้ยกระดับมาตรการความปลอดภัยแล้ว โดยสมาชิกของทีมสวิสมี 87 คน ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งหมดในตุรกีและซีเรียเพิ่มสูงแตะ 34,000 คน