วันนี้ (14 ก.พ.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ฟ้องดำเนินคดี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 จ.อุบลราชธานี พร้อมพวกรวม 7 คน
หลังจากตำรวจ ปปป. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าจับกุมกรณีเรียกรับเงินจากหัวหน้าหน่วยงานในสังกัด โดยมีการล่อซื้อ ติดกล้องวงจรปิด และพบเงินสดบนโต๊ะทำงานและห้องแต่งตัวประมาณ 5 ล้านบาท
คดีนี้ นายรัชฎายื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ, ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ บุกรุก ซ่องโจร ผิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
นายรัชฎา อ้างว่า จำเลยทั้งหมดวางแผนพูดคุยล่อให้ตกลงรับเงิน และยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบันทึกวิดีโอให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทำให้ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง พร้อมกับนำสืบพยานรวม 30 รายการ ทั้งพยานบุคคลและเอกสาร รวมทั้งขึ้นสืบพยานด้วยตัวเอง
นายรัชฎา ยังกล่าวอ้างว่า นายชัยวัฒน์ เป็นผู้มาติดต่อพบในวันเกิดเหตุที่ห้องทำงาน โดยไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า และมีการนำซองสีขาวบรรจุเงิน 3 ซอง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 98,000 บาท มามอบให้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม
วันนี้ (14 ก.พ.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติชอบกลาง นัดฝ่ายโจทก์มาฟังคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนหรือไม่ หากพบว่าคดีไม่มีมูลจะพิพากษายกคำร้อง โดยทนายความของโจทก์มาศาล ซึ่งศาลพิจารณาจากคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า บางส่วนยังฟ้องไม่ถูกต้องในความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดว่าผู้ถูกฟ้องละเมิดอย่างไร และต้องชี้ช่องพยานหลักฐานเพื่อให้ศาลนำสืบและยื่นฟ้องใหม่ภายใน 15 วัน
ส่วนการฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ, ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ บุกรุก ซ่องโจร ศาลมีคำสั่งให้นายรัชฎา ในฐานะโจทก์ ต้องมาไต่สวนถึงพฤติการณ์ก่อน ในวันที่ 23 ก.พ.นี้ เวลา 09.30 น. หากไม่เดินทางมาไต่สวนด้วยตัวเองถือว่าไม่ประสงค์ฟ้องคดีต่อ
นอกจากนั้น ศาลมีคำสั่งให้ออกหนังสือสอบถามไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ทำรายงานมายังศาลใน 4 ประเด็น คือ 1.มูลเหตุการเข้าจับกุมนายรัชฎาที่กรมอุทยานฯ ในวันที่ 27 ธ.ค.2565, 2.ชี้แจงขั้นการจับกุมว่ามีหมายค้น หรือหมายจับนายรัชฎาหรือไม่
3.การบันทึกภาพ เสียงของชุดจับกุมมีการนำภาพไปเผยแพร่หรือไม่ ซึ่งการนำไปเผยแพร่เกี่ยวข้องกับการทำคดีหรือความลับทางราชการหรือไม่ และ 4.เงินจำนวน 98,000 บาท รวมทั้งพยานหลักฐานที่ตรวจยึดในห้องทำงาน มีการบันทึกจับกุมไว้หรือไม่ โดยให้ตำรวจทำรายงานส่งให้ศาลภายใน 30 วันหลังจากได้รับหนังสือ และนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาทางคดีในวันที่ 30 มี.ค.นี้ เวลา 09.30 น.
ทนายความชี้ปมขัดแย้งจากคดี “ชัยวัฒน์” ถูกตรวจโครงการปลูกป่า
นายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความของนายรัชฎา เปิดเผยว่า เตรียมแก้คำฟ้องตามคำสั่งของศาลและจะยื่นฟ้องใหม่ให้ทันตามกรอบเวลาที่ศาลกำหนด และนายรัชฎา จะมาไต่สวนที่ศาลด้วยตัวเองในวันที่ 23 ก.พ.นี้ พร้อมยืนยันว่า การเข้าตรวจค้นจับกุมของเจ้าหน้าที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ต้องมาฟ้องให้ศาลดำเนินคดีตามข้อหาดังกล่าว
นายวราชันย์ บอกถึงสาเหตุของการเข้าจับกุมของตำรวจ และนายชัยวัฒน์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการร้องให้ตรวจสอบกรณีที่นายชัยวัฒน์ สมัยที่ยังอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เมื่อปี 2561 มีการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อนำไปทำโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ 4,200 ไร่ ภายในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มูลค่ากว่า 14 ล้านบาท แต่ไม่มีการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว จึงร้อง ปปท.ตรวจสอบ
ซึ่ง ปปท.ได้ส่งเรื่องให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบ กระทรวงฯ จึงดำเนินการต่อ แต่เมื่อนายชัยวัฒน์เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักฯ คดีได้ส่งมาถึงสำนักงาน ป.ป.ช.แล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาชี้มูลความผิด ซึ่งกำลังจะหมดอายุความในเดือน มี.ค.2566
ทนายความของนายรัชฎา ระบุอีกว่า โครงการนี้มีการเบิกจ่ายงบประมาณเป็น 3 งวด โดยงวดแรกได้เบิกงบไปในวันที่ 29 มี.ค.2556 แต่โครงการดังกล่าวไม่มีการปลูกป่าจริง ทำให้กระทรวงฯ ได้รับความเสียหาย
ซึ่งหลังจากนี้ทางกระทรวงฯ จะต้องไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งเรื่องยังอยู่ระหว่างการรออนุมัติจากอธิบดีกรมอุทยานฯ และเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นต้นเหตุทำให้นายชัยวัฒน์ ไปร่วมกับตำรวจ ปปป. วางแผนล่อซื้อให้เข้าจับนายรัชฎา จนทำให้เกิดความเสียหาย
ทั้งนี้ เตรียมยื่นฟ้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. เพิ่มเติมอีก 1 สำนวน เนื่องจากเข้าข่ายความผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเช่นกัน ส่วนสำนวนคดีนี้เป็นการฟ้องนายชัยวัฒน์ และตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ส่วนกรณีที่นายรัชฎา อ้างว่าเงินที่ได้รับจากหน่วยงานในสังกัดเป็นการนำไปสร้างพระบรมราชนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 เพื่อหาเงินเข้าไปในกองทุนของข้าราชการสังกัดกรมอุทยานฯ นั้น นายวราชันย์ ยืนยันว่า ข้อมูลในส่วนดังกล่าวยังไม่ขอเปิดเผย เนื่องจากเป็นข้อมูลในการใช้ต่อสู้ทางคดี
อ่านข่าวอื่นๆ
ผบ.ตร.สั่งจเรฯ ตรวจสอบกรณี "นายพล จ." เอี่ยว "พนันออนไลน์ -น้ำมันเถื่อน"
แจ้งข้อหา 4 ตร. นำขบวนนักท่องเที่ยวจีนผิดวินัยร้ายแรง - พฐ.เข้าตรวจรถ