หลังจากที่ กัมพูชาเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ชาติสมาชิกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ซีเกมส์ โดยไทยกลายเป็นชาติที่ถูกเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์สูงที่สุดในอาเซียน ในราคาเกือบ 28 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นปัญหาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ และมีโอกาสที่คนไทยจะไม่ได้ชมการถ่ายทอดสดกีฬาซีเกมส์ ในวันที่ 5-17 พ.ค.นี้
ล่าสุด นายก้องศักด ย้ำว่า กกท.ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการโอลิมปิกเเห่งประเทศไทย เตรียมเดินทางไป เจรจากับทางโอลิมปิกของกัมพูชาภายในเดือนนี้เพื่อต่อรองให้ราคาอยู่ในมาตรฐานใกล้เคียงกับในอดีต โดยประเมินจากซีเกมส์ครั้งล่าสุดที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งราคาอยู่ที่ 350,000 บาทเท่านั้น
แต่หากเจ้าภาพกัมพูชาไม่ยอมลดราคา ซึ่งไทย อาจเลือกซื้อเป็นแพ็กเกจต่าง ๆ เริ่มจากแพ็กเกจใหญ่ ที่ถ่ายทอดสด 16 ชนิดกีฬา จาก 37 ชนิด ตามด้วย แพ็กเกจ ขนาดกลาง เเละ ขนาดเล็ก โดยยังไม่ชัดเจนว่า จะสามารถเลือกชนิดกีฬาได้หรือไม่ ซึ่ง กฎ มัส-แฮฟ เเละมัส-แครี่ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้ กกท.ไม่สามารถดึงภาคเอกชน เข้ามาร่วมลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ได้ เเต่ว่า กฎมัสแฮฟ และ กฎมัสแครี่ ไม่ได้บังคับให้ไทย ต้องซื้อลิขสิทธิ์ซีเกมส์
นอกจากนี้ผู้ว่าการ กกท.ยังย้ำว่า กกท.ปฏิบัติตามกฎหมายทุกขั้นตอนในการได้เเต่งตั้งนายถิรชัย วุฒิธรรม เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในประเด็นที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาการใช้อำนาจ และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ มายัง กกท.เเละกระทรวงการท่องเที่ยวเเละกีฬา รวม 11 ข้อหา
เมื่อสัปดาห์ที่เเล้ว ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาเเห่งชาติ พร้อมด้วย ทนาย อนันต์ชัย ไชยเดช เเถลงข่าวชี้เเจงข้อกล่าวหาต่างๆ เเละเตรียมดำเนินคดีกับบุคลที่ทำบัตรสนเท่ห์ร้องเรียนผู้จัดการกองทุน รวมทั้งยังเตรียมนำข้อกฎหมายมากวาดล้าง กกท.เเละอาจเชิญนายชูวิทย์ ร่วมตรวจสอบการทำหน้าที่ของ กกท.