วันนี้ (20 เม.ย.2566) ยูนิเซฟเปิดเผยงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยมหิดล เครือข่ายและยูนิเซฟ พบว่า ปัจจุบันมีเด็กที่เติบโตนอกบ้าน และอาศัยอยู่ในสถานรองรับทั่วประเทศกว่า 120,000 คน โดยสถานรองรับเหล่านี้ ได้แก่ สถานสงเคราะห์ บ้านพักเด็ก โรงเรียนประจำ วัด ศาสนสถาน และสถานที่ประเภทอื่น ๆ ที่รับเด็กไว้เลี้ยงดู ซึ่งส่วนใหญ่ยังขาดการติดตามและกำกับดูแล
งานวิจัยใหม่ “เด็กโตนอกบ้าน...ในสถานฯ ที่ไม่มีใครมองเห็น” พบว่า ปัจจุบัน เด็กกว่า 6,000 คนอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐ และอีกประมาณ 43,000 คน เติบโตในโรงเรียนประจำของภาครัฐ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงเด็กพิเศษ 12,000 คน
ยังมีเด็กกว่า 33,000 คน บวชเป็นสามเณรและอีก 2,000 คน ที่อาศัยอยู่ที่วัด ในขณะเดียวกัน ยังมีเด็กประมาณ 39,000-77,000 คนที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใบอนุญาตจัดตั้งสถานสงเคราะห์ ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย
โดย จ.เชียงใหม่ และเชียงราย มีจำนวนสถานสงเคราะห์เอกชนมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนทั้งหมดทั่วประเทศ
นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า จำนวนเด็กที่ต้องอาศัยอยู่ในสถานรองรับเหล่านี้สูงจนน่าตกใจ เพราะการอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมซึ่งแยกจากครอบครัว
โดยเฉพาะในสถานรองรับที่มีเด็กจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบเชิงลบ ต่อพัฒนาการทางร่างกาย สมอง และอารมณ์ของเด็กในระยะยาว เนื่องจากเด็ก ๆ ไม่สามารถสร้างความผูกพันที่มั่นคง หรือพัฒนาทักษะทางสังคม หรือได้รับการดูแลเอาใจใส่ทั้งทางสุขภาพกายและจิตใจ อย่างที่พวกเขาจะได้รับในสภาพแวดล้อมแบบครอบครัว
สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือการขาดระบบกำกับดูแลตรวจสอบสถานรองรับเหล่านี้ นั่นแปลว่า เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเด็ก ๆ มีความเป็นอยู่แบบไหน ได้รับการดูแลอย่างไร หรือมีความเสี่ยงต่อการถูกใช้ความรุนแรง การถูกทำร้ายหรือถูกละเลยทอดทิ้งหรือไม่
ยูนิเซฟระบุว่า ในกรณีที่เด็กไม่สามารถอยู่กับครอบครัวได้ สถานรองรับหรือสถานสงเคราะห์ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย และควรอาศัยอยู่ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ งานวิจัยพบว่า เด็กที่เติบโตในสถานเหล่านี้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ที่จะเผชิญปัญหาต่าง ๆ เมื่อเติบโตขึ้น เช่น ปัญหาด้านสุขภาพจิต การเรียน หรือการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ยูนิเซฟเรียกร้องให้รัฐบาลพัฒนากลไก เพื่อติดตามและกำกับดูแลสถานรองรับเหล่านี้ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเด็ก ๆ จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อพัฒนาการของพวกเขา ในขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงวัฒนธรรม ควรต้องร่วมมือกันกำกับดูแลสถานรองรับรูปแบบต่าง ๆ รวมถึง สถานสงเคราะห์ บ้านพักเด็ก โรงเรียนประจำ วัดและศาสนสถาน
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวเด็กทุกคนควรได้เติบโตในสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่ปลอดภัยและเต็มไปด้วยความรักและการดูแลเอาใจ โดยไม่มีความจำเป็นต้องมีสถานรองรับเหล่านี้ ทั้งนี้ ยูนิเซฟกำลังดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กถูกพรากจากครอบครัว พร้อมกับส่งเสริมให้เด็กได้อาศัยอยู่กับญาติหรือครอบครัวอุปถัมภ์ในกรณีที่พ่อแม่ของเด็กไม่สามารถเลี้ยงดูเองได้
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็ก (พ.ศ.2565-2569) ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสนับสนุนครอบครัวให้เข้มแข็งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมการเลี้ยงดูในรูปแบบครอบครัวและปรับปรุงมาตรฐานการดูแลเด็ก ควบคู่ไปกับลดการพึ่งพิงการดูแลในรูปแบบสถานสงเคราะห์
นางคิมกล่าวว่า เด็กทุกคนควรเติบโตในครอบครัวที่รักและดูแลเอาใจใส่ แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็กถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย แต่จะก่อให้เกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อนโยบายเหล่านั้นถูกนำมาปฏิบัติจริง ยูนิเซฟพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลและภาคีเครือข่ายเพื่อสร้างสังคมที่เด็กทุกคนในประเทศไทยสามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบครอบครัวที่ปลอดภัยและเต็มไปด้วยความรักและการดูแลเอาใจใส่อย่างแท้จริง