วันนี้ (24 เม.ย.2566) ชมรมแพทย์ชนบท เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 7 ของเครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชน ต้านภัยยาเสพติด ลงชื่อโดย เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และ ภาคประชาชน โดย ข้อความระบุว่า แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเกี่ยวกับกัญชาทั่วประเทศ มีโอกาสที่จะทราบข้อเท็จจริงต่าง ๆ มากกว่าประชาชนทั่วไป เช่น
1.มีโอกาสเห็นประโยชน์จากการใช้กัญชาทางการแพทย์ หากใช้อย่างถูกต้อง และมีโอกาสเห็นภัยจากนโยบายกัญชาเสรีอย่างมาก เช่น การเจ็บป่วยจากการได้รับกัญชาโดยไม่รู้ตัว การเสพกัญชาจนเกิดอาการจิตหลอน การมั่วสุมสูบกัญชาของเยาวชน และ การเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บจากการเมากัญชา ยากที่จะถูกข้อมูลอันเป็นเท็จที่มักจะกล่าวถึงแต่ข้อดีของกัญชาเสมือนไม่มีโทษเลย หรือ กล่าวถึงข้อดีของกัญชาแบบครอบจักรวาล โดยไม่มีหลักฐานพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์
2. ทราบดีว่าปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.2565 หลังปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติดด้วยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2565
3. ทราบดีว่ากัญชาทางการแพทย์เกิดขึ้นแล้วในปี 2562 ตั้งแต่สมัย ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็น รมว.สาธารณสุข ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สามารถใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ ภายใต้การดูแลของแพทย์ (ทั้งแผนปัจจุบันและแผนไทย) แต่ไม่เกิดปัญหาเช่นทุกวันนี้ เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติด
4. ทราบความจริงว่าการปลดพืชกัญชาจากการเป็นยาเสพติดด้วยประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข วันที่ 8 ก.พ.2565 เป็นการปลดทุกส่วนของพืชกัญชาจากการเป็นยาเสพติด ทำให้คนทุกเพศทุกวัยสามารถสูบดอกกัญชาเพื่อสันทนาการได้โดยไม่ผิดกฎหมายยาเสพติดใด ๆ และทุกคนสามารถปลูกกัญชาในครัวเรือนและเชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่จำกัดจำนวน อันเป็นต้นตอของปัญหากัญชาเสรีทั่วประเทศในขณะนี้ (แม้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะกล่าวว่าไม่ต้องการกัญชาเพื่อสันทนาการก็ตาม)
5. ทราบดีว่าการปลดดอกกัญชาจากการเป็นยาเสพติด ทำให้ใช้เพื่อสันทนาการได้ เป็นการกระทำผิดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยยาเสพติด อาจเป็นเหตุให้ประเทศไทยถูกระงับการนำเข้ายาแก้ปวดประเภทมอร์ฟีนได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศเสียหายโดยหาผู้รับผิดชอบไม่ได้
6. ทราบดีว่าการกำหนดให้ดอกกัญชาซึ่งมี THC เฉลี่ย 10-12 % ไม่เป็นยาเสพติด ขณะที่สารสกัดที่มี THC เกิน 0.2% เป็นยาเสพติด เป็นนโยบายที่ย้อนแย้งและขาดเหตุผลโดยสิ้นเชิง
7. ทราบดีว่าการปลดกัญชาเสรีวันที่ 9 มิ.ย.2565 เป็นการฝ่าฝืนมติคณะกรรมการ ป.ป.ส. ที่กำหนดให้รอ 120 วัน เพื่อให้มีกฎหมายกัญชาออกมาควบคุมก่อน และให้เลื่อนการปลดกัญชาเสรีออกไปได้หากยังไม่มีกฎหมายกัญชามาควบคุม
8. ทราบดีว่าอันที่จริงการส่งเสริมเศรษฐกิจกัญชาควรไปทำผ่านกระทรวงอุตสาหกรรมหรือกระทรวงพาณิชย์ แล้วให้กระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์และควบคุมการใช้กัญชาในลักษณะที่ไม่ถูกต้อง และทราบดีว่านโยบายกัญชาเสรีทำให้บทบาทของกระทรวงสาธารณสุขผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น คือ จากบทบาทผู้ควบคุมกัญชา (cannabis regulator) ไปเป็นบทบาทผู้ส่งเสริมกัญชา (cannabis promotor) ทำให้ประเทศเสียหายมากเนื่องจากไม่มีผู้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค อีกทั้งทราบดีว่าข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขจำนวนมากมีความอึดอัดกับนโยบายกัญชาเสรีนี้ แต่ไม่สามารถพูดความจริงได้ เพราะเกรงว่าจะกระทบกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ดังนั้น ด้วยขณะนี้ใกล้เลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.2566 ซึ่งจะมีผลต่อการเดินหน้านโยบายกัญชาเสรีในประเทศไทยว่าจะไปต่อหรือไม่ เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชน ตามรายชื่อแนบท้ายนี้ จึงเรียนมายังพี่น้องบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั่วประเทศ ช่วยกันชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับบุคคลที่ท่านรู้จัก ทั้งญาติ เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และผู้ป่วยที่ท่านดูแล ให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบายกัญชาเสรีดังชี้แจงแล้วข้างต้น เพื่อร่วมรณรงค์ “1 เสียงเพื่อเยาวชน” (คลิป)