วันนี้ (15 พ.ค.2566) 12.00 น. หลังจาก "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" แถลงประกาศชัยชนะของพรรคก้าวไกล พร้อมพลิกขั้วจากฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ณ ที่ทำการพรรคก้าวไกล มั่นใจเป็นนายกฯ คนที่ 30 ของไทย ในมุมอื่นๆ นั้น เขาคือนักเจ้าของธุรกิจน้ำมันรำข้าวรายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ และอันดับ 5 ของโลก ผู้เข้ารับตำแหน่ง CEO ของบริษัทด้วยวัยเพียง 25 ปี พร้อมกับหนี้สิน 100 ล้าน ที่กลายเป็นทำกำไรนับ 1,000 ล้านในเวลาไม่นาน
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
"ทิม พิธา" เกิดวันที่ 5 ก.ย.2524 ปัจจุบันอายุ 41 ปี เป็นบุตรชายของ "พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์" อดีตที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ กับ "ลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นพี่ชายของ "เทียน ภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์" และเป็นหลานรักของ "ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์" ลุงเดียวที่ พิธา รัก นักการเมืองชื่อดังในอดีตที่ซี้ปึ้กกับ คนแดนไกล นายทักษิณ ชินวัตร
และจากการทาบทามของ เอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง ทำให้ พิธา ตัดสินใจเดินทางบนเส้นทางการเมืองเต็มตัว จากจุดเริ่มต้นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ และก้าวสู่หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ชีวิตวัยเด็กของเด็กชายทิม
พิธา เข้าเรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เป็นเด็กเกเรตามประสา ก่อนจะถูกคุณพ่อส่งไปเรียนที่ประเทศนิวซีแลนด์ในวัย 11 ขวบ ที่เมืองแฮมิลตัน เมืองชนบทเล็กๆ เด็กชายทิมในขณะนั้น ต้องอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ชาวนิวซีแลนด์ที่มีฐานะปานกลาง ก่อนไปโรงเรียนเขารับจ้างเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้าน เก็บสตรอเบอร์รี่ ส่งนม เป็นนักกีฬาของโรงเรียน "ทิม" เคยให้สัมภาษณ์กับหลายสื่อว่า ที่แฮมิลตันมีทีวีอยู่ 3 ช่อง และเขาสนใจดูแต่ช่องการเมือง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทำให้เด็กชายทิมเริ่มสนใจเส้นทางการเมือง
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ วัยเด็ก
หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เขาบินกลับไทยเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่ สาขาการเงิน การธนาคาร ภาคภาษาอังกฤษ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และระหว่างนั้น พิธา ยังได้ทุนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปเรียนที่รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกาอีกด้วย
หลังจากเรียนจบปริญญาตรี พิธา เลือกจะทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพราะเขามีแนวคิดที่ว่า หลังจากเรียนจบ ป.ตรี แล้ว ควรทำงานก่อน หากมีโอกาสค่อยเรียนต่อในระดับที่สูงต่อไป พิธา เข้าทำงานในกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.พาณิชย์ ในยุครัฐบาลทักษิณ 2
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขณะรับราชการ
จากนั้นจึงขอทำตามความฝันตัวเองในวัยเด็กอีกครั้ง ด้วยการเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท การเมืองการปกครอง สาขาการบริหารภาครัฐ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ควบคู่กับปริญญาโท การบริหารธุรกิจ สโลน สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) แต่เขาเรียนไปได้เพียง 1 ปี ก็เกิดจุดเปลี่ยนของชีวิตขึ้น จนทำให้ พิธา เลือกจะดรอปเรียน หรือรักษาสภาพนักศึกษา แล้วเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัว
CEO อายุน้อยกับการปิดดีลหนี้ร้อยล้านใน 3 เดือน
ไม่มีใครรู้เลยว่าการเดินทางไปเรียน ป.โท ของ พิธา ที่สหรัฐอเมริกา คือการเจอหน้าครั้งสุดท้ายของเขาและพ่อ พิธา กลับเมืองไทยโดยที่ไม่มีโอกาสเจอคุณพ่อ กลับกันสิ่งที่เขาต้องเจอคือ หนี้สินกว่าร้อยล้านบาท
ด้วยความโศกเศร้าของผู้จากไป การสูญเสียกำลังใจ และความไม่ไว้ใจของพนักงานในโรงงาน CEO พิธา ในวัย 25 ปี เลือกจะบอกกับทุกคนว่า
เขาคงไม่มีคำตอบที่ดีให้กับทุกคน แต่เขาจะพาทุกคนไปหาทางออกที่ดีที่สุดด้วยกันให้ได้
ธุรกิจเดิมของตระกูลลิ้มเจริญรัตน์ คือการส่งออก "รำข้าว" และสินค้าเกษตร เมื่อ พิธา เข้ามา เขาพบว่าโรงงานของตนเองนั้นส่งแต่รำข้าวออกให้ต่างประเทศ จากนั้นต่างประเทศนำไปสกัดเพิ่มมูลค่าและให้ไทยนำเข้าในราคาที่สูงกว่าเดิมหลายร้อยเท่า
ทำไมเราต้องส่งของราคา 10 บาท และนำเข้ากลับมาในราคา 1,000 บาท
นั่นคือคำถามของ พิธา ในขณะนั้น พิธา ใช้ความสามารถทางการเงินและทักษะการนำเสนอแผนธุรกิจกับธนาคาร จนทำให้เขาสามารถกู้เงิน 70 ล้านบาทมาได้อีกก้อน และ พิธา ใช้เวลา 3 เดือนสร้างไลน์ผลิต "น้ำมันรำข้าว" ในประเทศไทย ปลดหนี้ 170 ล้านบาท และสร้างมูลค่าให้บริษัทอีกกว่าพันล้านในเวลา 1 ปี พิธา ทำให้บริษัทของเขาที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันรำข้าวรายใหญ่เติบโตเป็นอันดับ 3 ของประเทศ และอันดับ 5 ของโลก
จากนั้นเขาบินกลับไปเรียนต่อปริญญาโทจนจบ การบริหารเวลาของเขาคือ ช่วงกลางวันไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด เย็นเรียนต่อที่ MIT และเวลาช่วงกลางคืนบริหารงานบริษัท ซึ่งตรงกับช่วงกลางวันของประเทศไทย
พิธา และ พิพิม ลิ้มเจริญรัตน์
และในช่วงเวลานั้น เขาได้พบรักข้ามโลกจากการแนะนำของเพื่อนกับ "ต่าย ชุติมา ทีปนาถ" พิธา เดินทางไปที่อิตาลี ในช่วงที่ "ต่าย" กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "หนีตามกาลิเลโอ" หลังจากคบหากัน 3 ปี ทิมและต่าย ได้แต่งงานกัน และมีบุตรสาว 1 คนคือ เด็กหญิงพิพิม ลิ้มเจริญรัตน์ ปัจจุบันในวัย 7 ขวบ แม้จะเคยมีเรื่องราวที่สร้างชื่อเสียให้ทั้งสองในอดีต แต่ปัจจุบัน ทั้งคู่เลือกสถานะพ่อแม่ที่ดีให้กับพิพิม
ยอมรับในความหลากหลายคือจุดเด่นของ พิธาและก้าวไกล
ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องความรุนแรงในครอบครัวในอดีตที่กลับมาสกัดความนิยมของ พิธา ช่วงหาเสียง "ต่าย ชุติมา" ได้ออกมาประกาศว่าเรื่องในอดีตนั้นควรลืมไป และโฟกัสกับปัจจุบันพร้อมยังสนับสนุนพ่อของพิพิมในเส้นทางการเมือง ส่วนทาง พิธา นั้นเคยให้สัมภาษณ์ว่า หลายครั้งเรามักเป็นตัวร้ายในเรื่องราวของคนอื่น แต่ปัจจุบัน เขาเลือกที่จะตอบคำถามเท่าที่จะตอบได้ ส่วนหนึ่งคือ "ความโปร่งใสในฐานะนักการเมือง" ที่เมื่อประชาชนสงสัย เขาก็ต้องคลายข้อสงสัยให้ได้
แต่หากล้ำเส้นมากเกินไป เขาก็ต้องปกป้อง เช่นเดียวกับที่เขาปกป้องลูกสาวคนเดียวของเขาในขณะนี้
ถ้าวันนี้ไม่มีพิพิม ผมอาจจะบริหารสถานการณ์เรื่องครอบครัวอีกแบบ
แต่ตอนนี้ผมก็ต้องปกป้องความรู้สึกของพิพิมให้มากที่สุด
พร้อมกับใช้ความไม่สมบูรณ์ของครอบครัวตัวเอง เป็นบทเรียนและแบบอย่างที่ให้สังคมเห็นว่า ความแตกต่าง หรือ การเห็นต่างในความคิดของแต่ละคน ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมเดียวกัน
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขณะหาเสียงเลือกตั้ง 2566
รู้หรือไม่ : พ่อทิม ใช้นิทานเรื่อง The only philosophy of marriage: the crocodile and giraffe story หรือ ปรัชญาความรัก : เรื่องราวของยีราฟและจระเข้ ในการสอนน้องพิพิม ให้เข้าใจถึงสถานะของครอบครัว ยีราฟที่ใช้ชีวิตแนวตั้ง และ จระเข้ที่ใช้ชีวิตแนวราบ แต่ด้วยความรักที่มีต่อกัน ความแตกต่างในการใช้ชีวิตของทั้ง 2 กลับสามารถอยู่ร่วมกันได้
อ่านข่าวเพิ่ม :
ผลการเลือกตั้ง2566 : วิเคราะห์ : มติมหาชนวันเลือกตั้งที่ “พรรคก้าวไกล” ได้รับ
เลือกตั้ง2566 : "อิ๊งค์" คุยก้าวไกลแล้วพร้อมจับมือตั้งรัฐบาล - ไม่รู้ดึง ภท. ร่วม