ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สธ.ชี้กลุ่มอายุ 70 ปี ไม่ฉีดวัคซีน "โควิด" คร่าชีวิตสัปดาห์นี้ 36 คน

สังคม
26 มิ.ย. 66
06:58
15,058
Logo Thai PBS
สธ.ชี้กลุ่มอายุ 70 ปี ไม่ฉีดวัคซีน "โควิด" คร่าชีวิตสัปดาห์นี้ 36 คน
อ่านให้ฟัง
06:06อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ปลัดสธ.ระบุผู้ป่วยโควิด-19 สัปดาห์ก่อน 1,653 คน เสียชีวิต 36 คน พบเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไปและไม่ได้ฉีดวัคซีน ยังเป็นโควิดโอมิครอนลูกผสม ด้าน "หมอธีระ" เทียบเคสญี่ปุ่น-สหรัฐฯ หลังปรับลดมาตรการแนวโน้มเพิ่ม

วันนี้ (26 มิ.ย.2566) กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์โควิด-19 สัปดาห์ (วันที่ 18-24 มิ.ย.) ผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล 1,653 คน เสียชีวิต 36 คน ผู้ป่วยปอดอักเสบ 265 คน ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 164 คน

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้สถาน การณ์โควิด-19 ทั่วโลกในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับประเทศไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้เสียชีวิตลดลง รวมทั้งพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนลดลงด้วย

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่ม 608 โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป และยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จึงขอให้ประชาชนยังคงมาตรการป้องกันตนเองเมื่อเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือมีกิจกรรมเสี่ยง เพราะอาจมีโอกาสได้รับเชื้อไม่รู้ตัวและนำไปแพร่ให้คนในบ้านได้ รวมทั้งสวมหน้ากากทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และเด็กเล็ก

นอกจากนี้ ขอให้บุตรหลานนำสมาชิกในครอบครัวที่เป็นกลุ่ม 608 ไปฉีดวัคซีนโควิด-19 ประจำปี พร้อมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมถึงนำทั้งเด็กเล็กอายุ 6 เดือน–5 ปี ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปฉีดวัคซีนเพื่อลดการเจ็บป่วยรุนแรงเสียชีวิต

ยังเฝ้าระวังโควิดโอมิครอนลูกผสม

นพ.โอภาส กล่าวว่า สำหรับสายพันธุ์โควิด-19 ในไทย พบว่าส่วนใหญ่ยังคงเป็นสายพันธุ์โอมิครอนลูกผสม ซึ่งความสามารถในการแพร่ระบาดและความรุนแรงไม่ได้เพิ่มขึ้น และยังสามารถตรวจหาเชื้อด้วย ATK และ RT-PCR ได้ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะติดตามเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศ ทั้งในชาวไทยและต่างชาติ เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องต่อไป

ส่วนยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ยังมีเพียงพอกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคประเมินสถานการณ์ทางระบาดวิทยาในระยะต่อไป เพื่อเตรียมการสำรองยาและเวชภัณฑ์ให้เหมาะสมต่อไป

อ่านข่าวเพิ่ม WHO จับตาโอมิครอน "XBB.2.3" ทั่วโลกพบแล้วกว่า 7,000 คน

เช็กสถานะโควิด-19 ญี่ปุ่น-สหรัฐฯหลังปรับลดระดับ

ขณะที่ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิท ยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า กวาดตาดู COVID-19 รอบโลก พบว่าโควิดสายพันธุ์ FU.1 ตรวจพบมากในจีน นอกจาก VOI และ VUM ตามที่ระบุใน list ของ WHO การเดินทางระหว่างประเทศที่มากขึ้นเร็วขึ้น จะเป็นปัจจัยที่ทำให้สายพันธุ์ย่อยต่างๆ ของโอมิครอน แพร่จากที่หนึ่งไปที่อื่นๆ ได้ง่าย

ไทยเคยมีการรายงานตรวจพบ FU.1 มาแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่ปรากฏการณ์ในจีนที่ตรวจพบสายพันธุ์ย่อยนี้มากขึ้น อาจบ่งถึงความเป็นไปได้ที่ FU.1 จะขยายตัวในไทยได้เช่นกัน

จำนวนรายงานสุ่มตรวจสายพันธุ์จากประเทศต่างๆ ที่ส่งเข้าสู่ระบบ GISAID มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสถานการณ์ไม่ดีนัก เนื่องจากจะส่งผลให้การติดตามเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์มีการประเมินสถานการณ์ได้ยากมากขึ้น

นพ.ธีระ กล่าวอีกว่า เคสเพิ่มขึ้น 3 เท่า หลังญี่ปุ่นลดระดับโควิด-19 เมื่อพ.ค.ที่ผ่านมา สื่อของประเทศญี่ปุ่นรายงานสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ว่าหนักขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถบโอกินาว่า 

ภาพรวมของญี่ปุ่น พบว่าหลังจากปรับโควิด-19 ไปเป็นโรคกลุ่มที่ 5 และผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคลงมาตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.จำนวนเคสเพิ่มขึ้นราว 3 เท่าเมื่อเทียบกับก่อนปรับนโยบาย
ข้อมูลรายงานสุ่มตรวจสายพันธุ์จากประเทศต่างๆ ที่ส่งเข้าสู่ระบบ GISAID มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลรายงานสุ่มตรวจสายพันธุ์จากประเทศต่างๆ ที่ส่งเข้าสู่ระบบ GISAID มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลรายงานสุ่มตรวจสายพันธุ์จากประเทศต่างๆ ที่ส่งเข้าสู่ระบบ GISAID มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่การป้องกันในสถานพยาบาลเป็นเรื่องจำเป็นล่าสุดมีข่าวการระบาดเป็น กลุ่มก้อนในสถานพยาบาล Beth Israel Deaconess Medical Center ในบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้ติดเชื้อทั้งที่เป็นผู้ป่วยที่นอนรักษาตัว และบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้ต้องมีการประกาศให้สวมหน้ากากป้องกันตัว

กรณีข้างต้นเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้น หลังจากมีการยุติ state public health emergency for COVID-19 ตั้งแต่ 11 พ.ค. ในสหรัฐอเมริกา ย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองโรค และมาตรการป้องกันตัว เพราะหากเกิดปัญหาระบาดขึ้น จะส่งผลทั้งต่อกลุ่มผู้ป่วยที่มักมีโรคประจำตัว และสถานะสุขภาพไม่ดีเป็นทุนเดิม เสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต

รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ที่หากไม่เคร่งครัดป้องกันตัว นอกจากติดเชื้อส่งผลต่อสุขภาพของตนแล้ว ยังมีโอกาสแพร่ให้กับเพื่อนร่วมงาน และผู้ป่วย ที่ต้องได้รับการดูแลรักษาจากการปฏิบัติงานอีกด้วย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ป่วยโควิดเข้า รพ.เพิ่ม ห่วงโควิดรุนแรงในเด็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการ

"พิธา" หายโควิด เตรียมนำ ส.ส.ก้าวไกล รายงานตัว 27 มิ.ย.นี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Failed to load player resources

Please refresh the page to try again.

ERROR_BYTEARK_PLAYER_REACT_100001

00:00

00:00

ให้คะแนนการอ่านข่าวนี้