ซากรถที่ถูกแรงระเบิดจนฉีกขาดพร้อมบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดบนศรีษะ ยังคงย้ำเตือนความทรงจำของพระดี ทองอยู่ และพระลูกวัดไพโรจน์ประชาราม อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ขณะนั่งรถตู้ของเจ้าหน้าที่ออกไปบิณฑบาต แต่ผู้ก่อเหตุได้จุดชนวนระเบิดขึ้น แต่โชคดีที่ทั้งพระและเจ้าหน้าที่บาดเจ็บเล็กน้อย
ตอนระเบิดนั่งตัวแข็งเลยโยม มองข้างล่างเห็นแต่ควันพุ่งขึ้นมา ลงจากรถมาแล้ว เห็นว่าด้านที่ถูกระเบิดคือ ด้านที่พระนั่งอยู่ และมันระเบิดมาทางนี้พอดี แรงระเบิดทำให้ทะลุไปด้านหลังรถ หากไปดูที่ก็จะเห็น อาตมาตกใจ เพราะไม่เคยพบกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
พระดี บอกว่า หลังเกิดเหตุร้ายคนในครอบครัวก็อยากให้ลาสิขา เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุซ้ำอีก แต่ก็บอกลูกหลานว่า อยากจำวัดอยู่ที่นี่ให้ครบพรรษา เพราะชาวไทยพุทส่วนใหญ่คอยดูแลพระอย่างดี
คนที่นี่ไม่มีพิษมีภัย ทำอาหารมาประเคนอย่างดี เงินทอง งานการเค้าก็จัดเขาก็มีที่นี่ มาใหม่ ๆถูกนิมนต์ไปสวดทุกวัน เพิ่งมาหยุดตอนที่ถูกระเบิด แค่คนที่นี่เขาดีมาก รับรองว่าวัดนี้ดี
ไม่เพียงแต่เหตุลอบวางระเบิดพระเท่านั้น แต่ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังเกิดเหตุลอบวางระเบิดและยิงคนหาของป่า 2 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 2 คน ซึ่งเป็นเหตุความรุนแรงที่กลับมาเกิดถี่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยพุทธ
นางจิรัชยา เพ็ชรพิมล ผู้ช่วยผู้ใหญ่หมู่ 10 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส บอกว่า คนไทยพุทธตกเป็นเป้าหมาย และมีความไม่ปลอดภัย จึงทำให้มีการย้ายถิ่นตลอด 19 ปีที่ผ่านมา บางคนแม้จะมีที่ทำกินก็ไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้ เพราะถูกยิง หรือถูกวางระเบิดในสวน จึงจำใจขายที่ราคาถูก ขณะที่มีปัญหาเรื่องปากท้อง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเศรษฐกิจ
อ.รือเสาะ เคยมีโรงงานยางพาราหลายแห่ง ก็ทยอยปิดตัวลง บางคนจึงไม่มีงานทำ ลูกหลานที่ไปเรียนนอกพื้นที่ก็ไม่กลับมา และช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย แตกต่างกัน ความเชื่อด้วย วิธีคิด การปฎิบัติ หรือ แม้แต่นโยบายของภาครัฐเองที่ไม่เท่าเทียม ทำให้เกิดการเปรียบเทียบต่าง ๆ ตามมา
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 กล่าวว่า ปัญหาที่ชาวบ้านรู้สึกคือ โอกาสการเข้ารับราชการของคนในพื้นที่ จึงทำให้เรามีความรู้สึกว่าเป็นคนกลุ่มน้อยและรู้สึกกดทับ อย่างไรก็ตามหลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ จึงอยากเสนอให้มีการดูแลคนไทยพุทธด้วย
โดยเฉพาะการนำที่ดินรกร้างว่างเปล่าของรัฐ มาจัดสรรให้ชาวบ้านได้ทำกิน สร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อให้คนเหล่านี้ยังอยู่ในพื้นที่ต่อไป และส่วนตัวไม่เห็นด้วย หากการจะมีการถอนกำลังทหารออกไป เพราะในพื้นที่เสี่ยงคนไทยพุทธยังคงต้องการการคุ้มครอง
พวกแนวร่วมมีอาวุธไหม เขามีอาวุธ แต่คนไทยพุทธ เราไม่มี อย่างดีบางคนก็มีแค่ปืนสั้น เราไม่ได้มีปืนเอ็ม 16 แล้วใครที่เป็นรั้วของเรา ก็ คือทหาร ทหารอยู่นอกบ้านเรา สมมุติบ้านเราอยู่ตรงกลาง ทหารก็ล้อมรอบบ้านเรา อย่างน้อยเวลาเขาจะเข้ามาทำร้าย ก็จะมีทหารเป็นด่านหน้า ถ้าไม่มีทหารก็คงเหมือนเรายกชีวิตให้เค้า
ปฎิเสธไม่ได้ว่า นโยบายหลัก ๆ ของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค โดยเฉพาะ 3 พรรคการเมือง ภายใต้การนำของพรรคก้าวไกล และพรรคเป็นธรรม พรรคประชาชาติ มีความต้องการลดกำลังทหารในพื้นที่ชายแดนใต้
เสนอโครงการพาทหารกลับบ้าน ยุบหรือ เลิก กอ.รมน. ศอ.บต. หรือยกเลิกกฎหมายพิเศษล้วนสร้างความกังวลให้คนไทยพุทธที่เห็นว่า พื้นที่อาจจะยังไม่พร้อมที่จะใช้กองกำลังประจำถิ่น
ด้าน พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอิน รองแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ที่ผ่านมากองทัพภาคที่ 4 ได้ปรับลดกำลังพลมาเป็นลำดับ มีการประเมินความพร้อมของพื้นที่ และกองกำลังที่สร้างมาทดแทน ทำให้กำลังพลที่เคยมีสูงสุด เกือบ 75,000 อัตรา เหลือเพียง 49,000 อัตรา และในอนาคตหากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ลดลง ก็พร้อมที่จะส่งคืนพื้นที่ให้ตำรวจและกองกำลังประจำถิ่นดูแลต่อไป
ติชิลา พุทธสาระพันธ์ หัวหน้าศูนย์ข่าวภาคใต้ ไทยพีบีเอส รายงาน