จากกรณีกลุ่มบุคคลทำหน้าที่เป็นแม่สื่อ ชักชวนให้หญิงไทยแต่งงานกับชายชาวจีน แลกกับสินสอด 100,000 บาท แต่มีเงื่อนไขต้องมีลูกภายใน 6 เดือน เมื่อไม่เป็นไปตามสัญญากลับถูกทำร้ายและกักขัง
ตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี สอบปากคำผู้เสียหายและหญิงไทยอีก 3 คนที่เดินทางไปพร้อมกัน เบื้องต้นพบว่าแม่สื่อชื่อ "ดา" มีผู้ร่วมขบวนการอีก 5 คน และแม้ผู้เสียหายจะไม่แจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มแม่สื่อ แต่ตำรวจจะสืบสวนว่า เป็นขบวนการค้ามนุษย์หรือไม่ เพื่อป้องกันการกระทำความผิดจนเกิดความเสียหายกับหญิงคนอื่น ๆ
ขณะที่ พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ อธิบายว่า เรื่องนี้ยังไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์ แต่เป็นการจ้างแต่งงาน ซึ่งเป็นข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย และไม่เข้าข่ายอุ้มบุญ หรือว่าจ้างตั้งครรภ์ ส่วนพฤติกรรมของขบวนการแม่สื่อที่ติดต่อหาผู้หญิงให้แต่งงานกับชาวจีน ยังไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์ หรือค้าประเวณี
ทีมข่าวไทยพีบีเอส ได้รับหลักฐานคลิปภาพขณะหญิงไทย อายุ 31 ปี เข้าพิธีแต่งงานกับชาวชาวจีน อายุ 32 ปี เมื่อปี 2562 ที่บ้านโนนหวาย อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี โดยมอบสินสอดเป็นเงินสด 100,000 บาท ให้พ่อแม่ของฝ่ายหญิง
พิธีแต่งงานหญิงไทย-ชายจีน เมื่อปี 2562 แลกสินสอด 100,000 บาท
เธอ เล่าว่า มีแม่สื่อชื่อ "ดา" เป็นชาวอุดรธานี ติดต่อสอบถามว่า "อยากแต่งงานกับหนุ่มจีนไหม มีสินสอดให้ 100,000 บาท" เธอเห็นว่าจะได้เงินมาจุนเจือครอบครัว จึงรับคำ จนมีการดูตัว จากนั้นไม่ถึง 3วันก็มีพิธีแต่งงานที่บ้านของฝ่ายหญิง โดยแม่สื่อและพวกเป็นผู้จัดงานให้
เธอทำสัญญากับแม่สื่อ โดยแม่สื่อและแม่ของเธอเป็นผู้ลงชื่อในสัญญา ซึ่งฝ่ายหญิงจะได้รับสินสอด 100,000 บาท แต่แม่สื่อได้ค่าตอบแทนจากฝ่ายชาย 1,000,000 บาท
ในสัญญา ระบุว่า ต้องจดทะเบียนสมรส, ฝ่ายหญิงย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชายที่ประเทศจีน, ต้องมีลูกภายใน 6 เดือน และหลังคลอดลูก ฝ่ายหญิงสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ต่อ หรือกลับประเทศไทย ซึ่งทีมข่าวพยายามสอบถามถึงตัวสัญญาฉบับจริง แต่ผู้เสียหายและครอบครัว อ้างว่า ไม่ได้เก็บไว้ ทำเพราะสัญญานาน 4 ปีแล้ว
หญิงไทย ระบุถูกทำร้าย-กักขัง
นุช เล่าว่า เคยบอกแม่สื่อไปแล้วว่า เคยแต่งงานตอนอายุ 18 ปี มีลูกติด 2 คน และ "ทำหมันแล้ว มีลูกไม่ได้" แต่แม่สื่อ บอกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวเคลียร์ให้" เธอจึงแต่งงานและย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย ที่มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ซึ่งมีหญิงไทยอีก 3 คน เดินทางไปพร้อมกับนุช
หลังย้ายไปอยู่ประเทศจีน 2 เดือน เธอรู้สึกว่า ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะการแต่งงานไม่ได้เกิดจากความรัก พยายามติดต่อแม่สื่อก็ติดต่อไม่ได้ และเมื่อครบ 6 เดือน จึงสารภาพกับฝ่ายชายและครอบครัวว่ามีลูกไม่ได้ เพราะทำหมันแล้ว แต่ฝ่ายชายไม่เชื่อ จึงทำร้ายร่างกาย
แม่สื่อหายไปตั้งแต่ 2 เดือนแรก พอเขารู้ว่ามีลูกให้ไม่ได้ก็ถูกทำร้ายร่างกายมาโดยตลอด โดยยึดเอกสาร ยึดโทรศัพท์มือถือ
นุช ผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกาย-กักขัง หลังสารภาพมีลูกไม่ได้
เธอบอกว่า หลังบอกความจริง ครอบครัวสามีไม่ยอม อ้างว่า เสียเงินให้แม่สื่อไปแล้ว 1,000,000 บาท เธอจึงถูกกักขังในบ้าน 3 ปี มีพ่อสามีปลอบใจให้อดทน แต่เธอทนไม่ไหว จึงหนีไปขอความช่วยเหลือจากกงสุลไทย ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ให้ส่งตัวกลับไทย แต่กลับถูกเรียกเงินค่าดำเนินการ ค่าเครื่องบิน ค่าต่อวีซ่า รวมกว่า 100,000 บาท ซึ่งเธอและครอบครัวไม่มีเงินจำนวนดังกล่าว
เธอ อ้างว่า ทางกงสุลไทยในนครเซี่ยงไฮ้ เสนอให้เธอกู้เงินจากกงสุลก่อนเพื่อกลับบ้าน จนต้องเสียค่าปรับวีซ่าหมดอายุ 10,000 บาท และค่าเครื่องบิน 18,000 บาท จนได้กลับประเทศไทย เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
หญิงไทยคนนี้ ยังเปิดเผยว่า "แก๊งแม่สื่อ" หรือขบวนการติดต่อหาหญิงไทยแต่งงานกับชาวจีน จะได้ค่าตอบแทน 1,000,0000 บาท สาเหตุที่ผู้ชายจีนต้องการแต่งงานกับหญิงไทย เพราะอยากมีลูกไว้สืบสกุล และลดหย่อนภาษีได้ แต่ถ้าแต่งงานกับชาวจีนด้วยกัน เจ้าบ่าวต้องมีบ้าน มีรถ มีค่าสินสอดจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 4,000,000-5,000,000 บาท
นอกจากนี้ ชาวจังหวัดอุดรธานีคนหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า ลูกสาวของเธอแต่งงานและเดินทางไปอยู่กับสามีที่ประเทศจีน เมื่อ 3 ปีก่อน และเดินทางกลับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยแต่งงานผ่านการชักชวนของแม่สื่อเช่นกัน
เธอ บอกว่า การติดต่อประสานของกลุ่มพ่อสื่อแม่สื่อค่อนข้างน่าเชื่อถือ ลูกเขยชาวจีนมาหาที่บ้าน จัดงานแต่งตามประเพณี และเดินทางถูกกฎหมายทุกขั้นตอน ส่วนลูกสาวที่แต่งงานไปอยู่ประเทศจีน ได้รับการดูแลในฐานะภรรยา และติดต่อกับทางบ้านเสมอ แต่เมื่อลูกสาวไม่มีลูกและเจ็บป่วย จึงขอกลับประเทศไทย ซึ่งทางครอบครัวชาวจีนไม่มีปัญหาอะไร
เขาไม่ได้ล่อลวงหรอก เป็นความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ลูกสาวก็บอกว่ายินดีจะไป เห็นแก่ครอบครัว อยากได้เงินให้พ่อแม่ ครอบครัวทุกข์ยากลำบาก
เธอบอกว่า ลูกสาวเดินทางไปพร้อมหญิงชาวอุดรธานีอีก 2 คน และมีผู้หญิงจำนวนมาก ตัดสินใจแต่งงานผ่านการชักชวนของกลุ่มแม่สื่อ
ผู้เสียหายและครอบครัวของผู้ที่ถูกชักชวนแต่งงานกับชาวจีน ระบุว่า พ่อสื่อแม่สื่อไม่ได้เปิดบริษัท หรือใช้สื่อออนไลน์ชักชวน แต่เป็นการติดต่อผ่านคนรู้จักอีกต่อหนึ่ง