สีเสื้อแค่เปลือกนอก แต่แก่นมันคือจิตวิญญาณ วิธีที่จะสร้างความสมานฉันท์ในชาติคือความเสมอภาค ความยุติธรรม ความสามัคคีก็จะเกิด การสลายความขัดแย้งเก่า ไปก่อความขัดแย้งใหม่ จะไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่แก้ปัญหาที่รากก่อน
จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน บอกกับไทยพีบีเอสออนไลน์ เมื่อถามว่าจะสลายสีเสื้อสลายขั้วจริงหรือไม่ หลังการปรากฎตัวของ 3 อดีตแกนนำเสื้อสี คือนายจตุพร นายภิภพ ธงไชย และนายถาวร เสนเนียม หันหลังให้ความขัดแย้ง ร่วมตอบโจทย์อนาคตการเมืองไทย ก้าวไปด้วยกัน
จตุพร ขยายความว่า รากเกิดจากปัญหาอะไรก็แก้ให้ถูกต้อง และเริ่มกันบนพื้นฐานด้วยความเสมอภาคจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่หมายความว่าจะสลายความขัดแย้ง เพื่อประโยชน์ทางการเมือง หรือให้ใครได้ผลประโยชน์เฉพาะหน้าทางการเมือง หรือคดีความเฉพาะหน้าไม่มีประโยชน์
แต่หากจะสลายกันด้วยความเข้าใจ เพราะแต่ละคนไม่มีใครที่จะมีความขัดแย้งส่วนตัวในตลอดระยเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างต่อสู้ตามความเชื่อที่ไม่มีตัวตนมาเกี่ยวข้องดังนั้นถ้าจะเริมต้นกันใหม่กับประเทศนี้ต้องเริ่มต้นจากจุดสตาร์ตที่มีความเสมอภาค
อ่านข่าว "จตุพร" ชี้ "ทักษิณ "กลับไทย 22 ส.ค.นี้ แค่ข่าวปล่อย กลบกระแส "เศรษฐา" ถูกกล่าวหาปมซื้อที่
จตุพร พรหมพันธุ์ อดีต วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
3 คนมาเจอครั้งแรกหรือไม่
จตุพร บอกว่า ทุกคนเคยร่วมกันมาต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2535 บางคนเจอกันในสภา บางคนในสนามการต่อสู้ ก็เจอกันมาก่อนที่จะแบ่งเป็นสีเสื้อ ทุกคนรู้จักกันมาก่อนเหตุการณ์นี้ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2535 และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของประชาชน
โดยส่วนตัวก็ตีกันเป็นปกติ ที่ผ่านมาต่างคนต่างทำหน้าที่ตามความเชื่อของตัวเอง โดยไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง เจอตามวาระในงานก็ทักทายพูดคุยแลกเปลี่ยนกันปกติ
สลายขั้วกันแล้ว มีการคุยกันมาก่อนหรือไม่
จตุพร บอกว่า ที่ผ่านมายังไม่ได้มีการพูดคุยอย่างพร้อมหน้ากันมาก่อน เพราะคำว่าการสลายขั้วจริงๆ คือคนที่พูดเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และคนที่พูดไม่ได้เคยบทบาทในการต่อสู้กันมาก่อน บางคนแทบไม่เคยมีเรื่องคดีความ และในการต่อสู้ก็ไม่เคยเห็น แต่กลับกลายมาเป็นตัวแทนขณะนี้ ทั้งที่คู่ต่อสู้กันเดิมในสนามรบและมีบาดแผล ไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัว และยังไม่มีการพูดเรื่องนี้
คนที่พูดคือคนที่ไม่ได้อยู่ในสนามรบอย่างมีนัยสำคัญเมื่อ 20 ปีก่อน
จตุพร บอกอีกว่า การพูดเรื่องการสลายขั้ว เพื่อหวังผลในการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าการแต่งตัวหลังจัดตั้งรัฐบาล เป็นเรื่องผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองเพื่อหวังผลจัดตั้งรัฐบาล
หากแค่พูดเพื่อหวังผล ไม่ได้แก้ความขัดความขัดแย้ง คำพูดที่ว่าเหลืองแดงจับมือกันเพื่อล้มส้ม แค่ทัศนคติแบบนี้ก็พังแล้ว เพราะทัศนคตินี้ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้จริงและยังสร้างคู่ขัดแย้งขึ้นมาใหม่
จับมือกันฉันท์มิตรจะเห็นอะไร?
จตุพร ยอมรับว่าแต่ละคนอยู่ในวัยท้ายๆ ของชีวิต อยากให้ประเทศเดินไปข้างหน้าอย่างงดงาม และเดินไปข้างหน้าด้วยความเข้าใจ เพราะทั้งหมดของการต่อสู้ ไม่เคยมีเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องความเชื่อผลลัพท์ทางคดีความ คนที่ตายคนที่เจ็บเอาชีวิตฟื้นคืน เอาอวัยวะ เอาเสรีภาพฟื้นคืนมาไม่ได้ ซึ่งมีกันทุกฝ่ายการบาดเจ็บล้มตาย สูญสิ้นอิสรภาพ ภายใต้พื้นฐาน
เชื่อว่าตอนนี้อยู่ในบั้นปลายชีวิต และรู้จักกันมาก่อนที่จะมีความเห็นที่แตกต่าง ทุกคนอยู่ในเวทีเดียวกันมาก่อนตั้งแต่ปี 2535 พอเกิดสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมา จนตอนนี้ดูเหมือนลงตัวแล้ว
หลักคิดในการสลายความขัดแย้ง ต้องไม่สร้างความขัดแย้งขึ้นใหม่ เพราะคำว่าแดงเหลืองจับมือเพื่อล้มส้ม ไม่ใช่การสลายความขัดแย้ง แต่เป็นการสร้างคู่ขัดแย้งใหม่
มองปรากฎการณ์ด้อมส้มเด็กรุ่นใหม่ ?
จตุพร บอกว่า จากประสบการณ์ที่เคยผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ในฐานะผู้นำนักศึกษา มองคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อย่างเข้าใจ และถ้าประเทศไหนไม่มีคนหนุ่มสาวลุกขึ้นต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ประเทศนั้นจะหาความหวังไม่ได้
ดังนั้นต้องมองทุกมิติด้วยความเข้าใจ ต้องรับฟังในมุมที่แตกต่างทางความคิด และอคติ และต้องเปิดใจ ประชาธิปไตยคือความเห็นต่าง ถ้าความเห็นต่างไม่บังเกิดประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นไม่ได้
เขายกบทเรียนในอดีตในคราวที่เหลือง แดง ที่ต้อสู้กันอย่างรุนแรง ทางสถาบันพระปกเกล้าเคยทำไปวิจัยนำแกนนำแยกไปทำ และผลรายงานเหมือนกัน คือทัศคติ ความคิด การต่อสู้เหมือนกันถึง 90% วันนี้ต้องมองคนหนุ่มสาวอย่างเข้าใจ อะไรที่มองเห็นต่าง ต้องกล้าพูดและแลกเปลี่ยนกัน
มองคู่ขัดแย้งใหม่น่ากลัวหรือไม่?
จตุพร มองว่าคู่ขัดแย้งใหม่ไม่น่ากลัว เพียงแต่ยังตั้งโจทย์ไม่ถูกว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และจะได้แก้ได้ตรงจุดให้ได้ และมองอย่างเมตตาธรรม ด้วยความเข้าใจระหว่างกันเพราะเขาคืออนาคต แต่เรากำลังกลายเป็นอดีต เราอยู่ในวัยพราก เขาอยู่ในวัยสร้าง ประเทศอยู่ในมือของคนหนุ่มสาว เขากำลังเริ่มต้น หลักแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง
เขายกตัวอย่างความเห็นที่มองต่าง เช่น กรณีมาตรา 112 ในฐานะที่เป็นสส.มาก่อน มองว่าเรื่องนี้ไม่รู้ผ่านด่านกลั่นกรองผ่านด่านวาระได้หรือไม่ หรือหากผ่านเข้าไปได้ ก็จะประชุมลับไม่มีใครได้ยินเสียงว่าใครจะได้แสดงวุฒิภาวะที่พูดอย่างไร และหลังจากนั้นก็จะลงมติ และคนข้างนอกก็จะไม่ได้ยิน และมติจะไม่ผ่าน ซึ่งคนภายนอกได้ยินวันเดียววันโหวตเลือกนายกฯพิธา แต่การพิจารณากฎหมายก็จะเสนอให้พิจารณาทางลับ
อ่านข่าว "ชูวิทย์" แฉ "แสนสิริ" ใช้นอมินีซื้อที่ดินโยง "เศรษฐา
จตุพร พรหมพันธุ์ พิภพ ธงไชย ถาวร เสนเนม 3 อดีตแกนนำสีเสื้อ
มองการเมืองหลังมีรัฐบาลใหม่ “เศรษฐา” ?
จตุพร บอกว่า เชื่อว่าทันทีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาแล้วเสร็จ เรื่องที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดเอาไว้จะถูกยื่นส่งเรื่องไปยังป.ป.ช. วุฒิสภา อาจร้องต่อรัฐสภา และผู้ตรวจการแผ่นดิน สส.ก็จะเข้าชื่อตรวจสอบคุณสมบัติด้านจริยธรรม
ผมยังเชื่อว่าเศรษฐา มาเร็วเคลมเร็ว เพราะถ้าเทียบตอนนายสมัคร สุนทรเวช รายการชิมไปบ่นไป ที่ยื้อได้ 7 เดือน และเคสของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยื้อได้แค่ 2 เดือนเท่านั้น
แต่ของนายเศรษฐา สาหัสกว่าปัญหาว่าจะยื้อได้กี่วัน และตอนนี้ปปช.ขยันลับมีด ชี้แหลก มีดที่เป็นสนิมมานานตอนนี้ ประหารอดีตรองประธานสภาฯ ผู้ว่าฯ อดีตรัฐมนตรี จนมีดคม เข้าใจว่า รอประหารทีคนที่ใหญ่กว่า
ส่วนใครจะรับไม้ต่อจากนี้ นายจตุพร มองว่าสถานการณ์มันพาไปทุกอย่างมันผิดปกติมาแต่ต้น และสว.กลุ่มพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากลับหลังตอน 11 โมงเช้าของวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมาวันโหวตนายกฯเศรษฐา ทุกอย่างมันมีร่องรอย คนที่ยึดอำนาจมา ก็คืนอำนาจให้ และทุกเรื่องกำลังทำตามนโยบายเดิมที่ผู้ยึดอำนาจตัวเองไป มันขัดไปหมดต้องตระบัดสัตย์ทุกอย่าง นโยบายที่บอกจะทำทันที จะไม่ทำทันที เรื่องเงินดิจิทัล และรถไฟฟ้า 20 บาทที่ทุกคนรอในป้ายหาเสียงบอกทำทันที ขึ้นไปก็ผิด อยู่ไปก็ผิด
จตุพร บอกว่าวุฒิสภาจะหมดอายุในเดือนพ.ค.ปี 2567 และตอนปลายถ้านายเศรษฐา รอดจากช่วงนั้นได้ก็จะได้ไปต่อ แต่เชื่อว่าต้องไปก่อน เพราะต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดและเรื่องที่วุฒิสภาต้องถอย เราต้องดูปรากฎการณ์หลังการแถลงนโยบายเสร็จก่อน
อ่านข่าว
ขุนพลก้าวไกล-ประชาธิปัตย์ ลุยซักฟอกนโยบายเศรษฐา 1
นายกฯ บินด่วนภาคอีสาน ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม
จับกระแสการเมือง : 10 ส.ค.2566 จัดตั้งรัฐบาลสลายขั้ว - ก้าวไกลNOโหวตเพื่อไทย?