วันนี้ (27 ก.ย.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 2218/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 1839/2566) ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ฟ้องเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในพื้นที่ จ.ราชบุรี
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประ โยชน์ (น.ส.3.ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เนื้อที่ 43 ไร่ และเนื้อที่ 38 ไร่ ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (อธิบดีกรมที่ดิน) มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มี.ค.2565 ใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้ง 2 แปลงของผู้ฟ้องคดี
เนื่องจากตำแหน่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (หมายเลข 85)” ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2512 จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 แห่งประ มวลกฎหมายที่ดิน ที่ห้ามมิให้ดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวรและเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3.ก.) ตามข้อ 3 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2497) และข้อ 8 (2) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2497) ออกตามความพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497
ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว จึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) ได้มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จากการตรวจสอบตำแหน่งที่ดินของหน่วยงานต่าง ๆ ตามหลักวิชาการที่ดินประกอบกับเมื่อพิจารณาจากแผนที่แสดงตำแหน่งแปลงที่ดิน มาตราส่วน 1 : 30,000 ระวาง 4836 II 5006 แล้วเห็นว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ของผู้ฟ้องคดี อยู่ในแนวเขตที่ดิน
อ่านข่าว "แม่ธนาธร" ชี้ถูกโยงการเมืองปมรุกป่า 2,111 ไร่ยันซื้อถูกต้อง 30 ปี
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhabQJaSjeTx1JYi1fFaeI50HNAA.jpg)
ซึ่งมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2512 ได้กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่ป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” หมายเลข 85 และต่อมาได้มีการประกาศกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี”ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,069 (พ.ศ.2527) ออกตามความในพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซึ่งต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตามข้อ 3 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2497 ) และข้อ 8 (2) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2497 ) ออกตามความพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย รองอธิบดีซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มอบหมายจึงมีอำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ได้
ชี้ที่ดินซื้อมาโดยสุจริต
ดังนั้น คำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 747 /2565 ลงวันที่ 29 มี.ค.2565 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี อาศัยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และการใช้ดุลพินิจเช่นเดียวกัน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 158 ออกให้แก่นาย อ.และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 159 ออกให้แก่นาย ช. เมื่อวันที่ 3 ต.ค.2521 ตามโครงการเดินสำรวจโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามตามมาตรา 58 และมาตรา 58 ทวิ วรรคสอง (2) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ต่อมา นาย อ. และนาย ช. ได้จดทะเบียนขายให้แก่ บริษัท ร. เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2528 หลังจากนั้น บริษัท ร. ได้จดทะเบียนขายรวมสองแปลงให้แก่นาย ส. เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2534
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhabQJaSjeTx1JYb9ReGR2j6bB81.jpg)
และนาย ส. ได้จดทะเบียนขายรวมสองแปลงให้แก่ผู้ฟ้องคดี เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2553 ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้รับความเสียหาย เมื่อนายอำเภอจอมบึงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กระทรวงมหาดไทย) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง ความรู้ความชำนาญและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบสภาพ และที่ตั้งของที่ดินว่าเป็นที่ดินที่ต้องห้ามออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตามกฎหมายหรือไม่
ซึ่งตามวิสัยและพฤติการณ์ ของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แต่เมื่อนายอำเภอจอมบึงได้ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องไม่รับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ของนายอำเภอจอมบึง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของนายอำเภอจอมบึงในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
อ่านข่าว สั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. "แม่ธนาธร" รุกป่า 2,111 ไร่
พิพากษาให้กรมที่ดินชดใช้ค่าเสียหาย 4.69 ล้าน
ส่วนในการพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี จะต้องพิจารณาถึงความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับ ณ วันที่ผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2565 และไม่ปรากฏว่ามีราคาซื้อขายที่ดินกันตามปกติในท้องตลาดในวันดังกล่าว จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายโดยเทียบเคียงจากบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รอบบัญชี ปี พ.ศ.2559 –พ.ศ.2562 ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบึง ประกาศกำหนด
เนื่องจากอัตราดังกล่าวเป็นการกำหนดราคาที่ดินที่มีความเป็นกลางและใช้บังคับอยู่จนถึงวันที่มีการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่158 มีเนื้อที่ 43 ไร่ มีราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ราคาตารางวาละ 160 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 2,800,000 บาท และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 159 มีเนื้อที่ 38 ไร่ มีราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ราคาตารางวาละ 190 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 2,900,730 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 4,700,730 บาท
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhabQJaSjeTx1JYkfUl8QXcly1Ch.jpg)
อย่างไรก็ตาม ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 4,785,782 บาท ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเกินคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ และผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทำละเมิด คือ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2565 จนถึงวันที่ฟ้องคดี (10 ต.ค. 2565) คิดเป็นดอกเบี้ยก่อนฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน 126,528 บาท ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 4,912,311 บาท
ส่วนการที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นรายเดือน เดือนละ 13,666 บาท นับแต่วันที่ 1 เม.ย.2565 จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และค่าเสียหายจากการเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดิน
โดยค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2565 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 86,555 บาทนั้น เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีไม่เคยเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน และไม่เคยมีรายได้จากที่ดินแปลงพิพาท อีกทั้งผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างลอยๆ ปราศจากพยานหลักฐานการให้เช่าที่ดิน กรณีจึงถือไม่ได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายตามที่กล่าวอ้าง ศาลจึงไม่กำหนดค่าเสียหายจากการทำประโยชน์ในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี
พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 4,912 ,311 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ ของต้นเงินจำนวน 4,785,782 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ตามคำขอของผู้ฟ้องคดี
ทั้งนี้ ภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คืนค่าธรรมเนียมศาลแต่บางส่วนตามส่วนของการชนะคดีแก่ผู้ฟ้องคดี ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
อ่านข่าว
"กรมป่าไม้" แจ้งความแม่ธนาธร รุกป่า 450 ไร่-เพิกถอนอีก 2,000 ไร่