วันนี้ (10 ม.ค.2567) ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายกว่า 20 คน ประกอบด้วยหมอพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ถูกหลานสะใภ้อดีตนักการเมืองชื่อดัง อาชีพนักกายภาพบำบัดของโรงพยาบาลเอกชั้นนำ หลอกให้ร่วมลงทุน ซื้อ-ขาย กระเป๋าแบรนด์เนม มูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท พร้อมนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ พาเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบ เพื่อให้ติดตามความคืบหน้าและเร่งจับกุมหลานสะใภ้อดีตรองนายกฯ รายหนึ่งซึ่งมีพฤติการณ์ฉ้อโกง มาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย
หนึ่งในตัวแทนผู้เสียหายให้ข้อมูลว่า รู้จักกับหญิงสาวรายนี้ เนื่องจากเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน ก่อนมีการชักชวนให้ลงทุน ขายกระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง โดย อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนเป็นกำไรจากการลงทุนร้อยละ 5-6 ต่อ 3-5 วัน หรือ หากคิดภาพรวมต่อเดือนจะอยู่ที่ร้อยละ 50 เช่น ลงทุนเงิน 150,000 บาท ภายใน 1 เดือน ได้รับค่าตอบแทนคืนประมาณ 70,000 - 75,000 บาท
ซึ่งแรก ๆ ตนเองก็ได้ผลตอบแทนตามที่ตกลง ก่อนที่ภายหลังจะพบพิรุธ เนื่องจากพบพฤติการณ์เข้าข่ายคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ เมื่อพยายามถอนเงินต้นคืนก็ถูกบ่ายเบี่ยง อีกทั้งยังมีผู้เสียหายบางรายไม่ได้รับเงินลงทุนคืน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท
หนึ่งในตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวต่อว่าสาเหตุที่เชื่อและ ลงทุนด้วยเนื่องจากเห็นว่า ผู้กระทำความผิดเป็นลูกสะใภ้ของอดีตนักการเมืองชื่อดังมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังทำอาชีพทางการแพทย์ในโรงพยาบาลชั้นนำ ประกอบกับเป็นเพื่อนสนิท ตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาลจึงไว้ใจ
ซึ่งนอกจากตนเองตกเป็นเหยื่อแล้วยังมีบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลที่ผู้กระทำความผิดทำงานอยู่ตกเป็นเหยื่ออีกจำนวนมากแต่ไม่กล้าออกมาแจ้งความเพราะเกรงว่าจะเสียชื่อเสียง ขณะเดียวกันยังพบว่าแม้จะเกิดเรื่องและมีผู้เสียหายหลายรายแต่ผู้กระทำความผิดยังคงใช้ชีวิตตามปกติ จึงต้องการแจ้งความเพื่อให้สังคมรับรู้
ด้านนายรณณรงค์ ให้ข้อมูลว่า สาเหตุที่ผู้เสียหายเดินทางมาที่กองปราบเนื่องจากต้องการติดตามความคืบหน้าของคดีเพราะเห็นว่าผู้กระทำความผิดเป็นผู้มีอิทธิพล อีกทั้งพบว่าเมื่อมีการไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ กลับมีการเรียกรับเงินค่าทำคดี 10,000 บาท ทำให้ เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม สำหรับ ข้อหาที่กลุ่มผู้เสียหายจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดคือข้อหาฉ้อโกงประชาชนและ ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
อ่านข่าวอื่นๆ :