"ตอนนี้สภาพผม คือ หง่อมเลย ได้นอนไม่เคยเต็มที่ เพราะถึงไฟจะดับหมดแล้ว เราก็ยังต้องรอดูว่ามันจะปะทุขึ้นมาอีกหรือไม่ เพราะในกองไฟนั้น มันคือสารเคมีอันตรายทั้งนั้น"
สนิท มณีศรี 1 ใน 15 ชาวชุมชนหนองพะวา ที่ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรมจากบริษัท วิน โพรเสส จำกัด พูดถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงของเขาที่มีกองเพลิงในโรงงานที่เต็มไปด้วยถังสารเคมีซึ่งมาจากการลักลอบทิ้งแห่งนี้
วิน โพรเสส ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง คือ "ถังขยะของเสียอันตราย" สถานที่ลักลอบทิ้งสารเคมีจำนวนมหาศาล ถูกเพลิงลุกไหม้ตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.2567 โดยมีเสียงระเบิดจากถังสารเคมีดังขึ้นตลอดเวลาในช่วงวันแรกที่เกิดเหตุ และยังเกิดไฟปะทุขึ้นจากกองขี้เถ้าออยู่เรื่อยๆ มีฝุ่นควันปกคลุมมาตลอดหลายวัน ทำให้ชาวบ้านยังคงไม่วางใจ แม้ว่าไฟจะดับลงแล้ว หมอกควันในพื้นที่ลดลงไปแล้ว หลังผ่านไปกว่า 1 สัปดาห์
ชาวบ้านต้องการให้เอาออกไปให้หมดเลย เรารู้ว่ามันทำยาก แต่ถ้าไม่เอาออกไปให้หมด เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ยังไงอีกไม่กี่วัน ก็จะเข้าฤดูฝนแล้ว
สนิท เปิดเผยข้อเรียกร้องใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ชาวหนองพะวาต้องการในเวลานี้ พวกเขาไม่ต้องการอยู่กับกองขี้เถ้าที่อาจปลิวขึ้นจากแรงลม ไม่ต้องการกลายเป็นผู้ประสบภัยอีกระลอกจากการที่ต้องรับน้ำที่ล้นมาจากบ่อลักลอบทิ้งสารเคมีของโรงงานอีกในช่วงที่ฝนตก เพราะตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา มีน้ำล้นออกมาจากบ่อของโรงงานทุกปี
สนิท มณีศรี ชาวชุมชนหนองพะวา
"หน้าฝนปีที่แล้ว คันดินที่บ่อของโรงงานมันแตก น้ำก็ล้นจากบ่อปนเปื้อนของเขาทะลักขึ้นมาบนถนนสาธารณะเลย แล้วก็ไหลลงแหล่งน้ำ ลงดินหมด มาปีนี้เห็นเขาถมที่ดินสูงขึ้น ถ้าฝนตกมาหนักๆ ก็น่าจะล้นออกมาได้มากกว่าเดิมอีก และยังต้องไปรวมกับน้ำปนเปื้อนอยู่แล้วที่มาจากการดับเพลิงอีกด้วย ดังนั้น หน่วยงานรัฐต้องเร่งหาวิธีการนำกากของเสียพวกนี้ออกไปก่อนให้หมด ทั้งส่วนที่ไฟไหม้ไปแล้วและที่ยังไม่ถูกไฟไหม้"
สนิทเล่าต่อว่า ช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางลงมาดูพื้นที่เพลิงไหม้โรงงานที่หนองพะวา ใช้เวลาอยู่ในพื้นที่เพียงประมาณ 30 นาที โดยที่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังรายงานจากหน่วยราชการ ทำให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเลยแม้แต่คนเดียว
และนั่นทำให้ชาวหนองพะวา ยังคงไม่มั่นใจต่อแนวทางของรัฐที่จะดำเนินการหลังจากนี้ เพราะต้นเหตุที่ทำให้มีกากของเสียอันตรายจำนวนมาก ถูกทิ้งไว้ที่นี่ ก็มาจากการปล่อยปละละเลยของหน่วยงานรัฐ ทั้งที่ชาวบ้านร้องเรียนมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นเวลานานหลายปีแล้ว
อ่านข่าวเพิ่ม :
ถอดเบื้องหลังคดี "วิน โพรเสส" ถึงเวลาต้องแก้กฎหมายโรงงาน
ชาวบ้านไม่ทน! แจ้งเอาผิดอุตสาหกรรมเมินแก้มลพิษ "วิน โพรเสส"
ไฟปะทุอีกรอบ! วิน โพรเสส ปรับแผนดับ-เร่งแกะรอยไฟไหม้ปริศนา
ขณะที่ ดาวัลย์ จันทรหัสดี เจ้าหน้าที่อาวุโสและที่ปรึกษาชุมชน มูลนิธิบูรณะนิเวศ ยอมรับว่า ภาพเศษซากกองขยะสารเคมีอันตรายที่เห็นจากอาคารที่ถูกเพลิงไหม้ของ วิน โพรเสส เป็นภาพที่ร้ายแรงมากกว่าที่เคยคิดไว้จากการเห็นถังสารเคมีเหล่านี้กองไว้ในโรงงานตั้งแต่ปี 2563
"ประเทศไทยต้องจัดให้เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติภัยทางสารเคมีที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะเมื่อเกิดไฟไหม้ในโรงงานทั่วไป ก็จะไหม้สารเคมีที่เก็บไว้เพื่อใช้ทำงาน แต่ไฟไหม้ วิน โพรเสส ครั้งนี้ คือไฟไหม้ถังสารเคมีที่มีสภาพเป็น "กากสุดท้าย" ซึ่งมันคือของเสียที่ใช้ไม่ได้แล้ว และยังไม่สามารถบอกได้เลยว่า มีสารเคมีอันตรายตัวไหนบ้าง เนื่องจากเป็นการลักลอบทิ้งจึงปะปนกันหลายชนิดมั่วไปหมดจนไม่สามารถระบุที่มาได้ อย่างที่เราเห็นกันไปแล้วว่า ใน วิน โพรเสส มีการลักลอบเก็บกากตะกรันอะลูมิเนียมไว้ด้วย โดยการตรวจสอบ หลายครั้งก่อนหน้านี้เราก็ไม่รู้ว่ามี"
เมื่อลงพื้นที่มาเห็นสภาพใน วิน โพรเสส ดาวัลย์ ยอมรับว่า คงจะต้องรีบกลับไปเรียกร้องให้มีเวทีระดมความคิดในการนำกากของเสียอันตรายส่วนที่ถูกไฟไหม้ไปแล้วออกไปกำจัดอย่างถูกต้อง ซึ่งรัฐบาลเองควรจะต้องเร่งกระบวน การนี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะชาวหนองพะวาอยู่ในความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเพิ่มจากการปนเปื้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นผลจากลมที่จะพัดกองขี้เถ้าขึ้นมาเพราะไม่มีหลังคาของอาคารปกคลุมไว้แล้ว หรือกำลังจะมีผลกระทบเพิ่มแน่ๆ ถ้ามีฝนตกลงมา
"ในเบื้องต้นเห็นว่า หน่วยงานรัฐอาจจะสามารถขนย้ายถัง 1,000 ลิตร ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ถูกไฟไหม้และกีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานออกไปกำจัดก่อนได้ผ่านกลไกทางงบประมาณของรัฐ ซึ่งจะต้องไปฟ้องเรียกเก็บคืนจาก วิน โพรเสส ต่อไป ส่วนในโกดังที่ยังไม่ถูกไฟไหม้ ก็น่าจะเข้าไปสำรวจและนำไปกำจัดก่อนได้ เพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้เป็นเชื้อเพลิงอีก"
ตะกรันอะลูมิเนียม หรือ อะลูมิเนียมดอส ก็เป็นอีกส่วนสำคัญ ที่ควรถูกส่งไปกำจัดอย่างถูกต้องทันทีเช่นกัน เพราะถ้าถูกฝนชะล้างจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติมอีกมาก
ดาวัลย์ จันทรหัสดี เจ้าหน้าที่อาวุโสและที่ปรึกษาชุมชน มูลนิธิบูรณะนิเวศ
เจ้าหน้าที่อาวุโส มูลนิธิบูรณะนิเวศ ย้ำว่า อุบัติภัยทางสารเคมีร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับชุมชนหนองพะวา เกิดขึ้นจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลโรงงาน เพราะเจ้าหน้าที่เพิกเฉยที่จะแก้ปัญหาข้อร้องเรียนจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนของชาวบ้านอย่างจริงจัง ซึ่งผู้บังคับบัญชา หรือ องค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ ควรจะนำข่าวเก่าๆ ข้อเรียกร้องของชาวบ้าน หรือเอกสารแปลกๆ ต่างๆ ของโรงงานและหน่วยงานกำกับดูแลที่เคยถูกเผยแพร่ผ่านสื่อหลายครั้งไปขยายผลเพื่อดูว่า การละเว้นปฏิบัติหน้าที่แต่ละครั้ง เกิดขึ้นโดยสุจริตหรือไม่
และเหตุการณ์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า "ผลกระทบร้ายแรง" ที่เกิดขึ้นจากการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ มีราคาที่ต้องจ่าย "แพงมหาศาล" แพงเกินกว่าที่หน่วยงานของคุณจะรับผิดชอบได้
รายงานโดย : สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา
อ่านข่าวเพิ่ม :
คพ.เตือนกลิ่นเหม็นไฟ "วิน โพรเสส" ยังอ่วม-พบสารมลพิษอากาศ
คพ.เพิ่มจุดตรวจอากาศ "วิน โพรเสส" พบสารพิษในชุมชน