วันนี้ (23 พ.ค.2567) นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กล่าวว่า ปัญหาค่าครองชีพ และภาระหนี้สินของข้าราชการที่เพิ่มขึ้น ทำให้ข้าราชการจ่ายเงินสมทบ “ส่วนเพิ่ม” ลดลง
กบข. จึงเตรียมทบทวนระดับเงินออมเกษียณสุขของข้าราชการ เพื่อปรับปรุงแผนการออมเงินให้เหมาะสมกับสถานภาพของข้าราชการแต่ละสาขาอาชีพ หลังประเมินว่าระดับเงินออมที่เพียงพอต่อวัยเกษียณ ไม่ควรน้อยกว่า 5 ล้านบาท แต่ปัจจุบันประชากรไทยมีอายุขัยยืนยาวขึ้น ส่งผลให้เงินออมเกษียณดังกล่าวอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพหรือไม่
ขณะเดียวกัน กบข.กำลังศึกษาแนวทางการจ่ายผลตอบแทนให้กับสมาชิกรูปแบบอื่น ๆ เช่น การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล การให้สิทธิประโยชน์ รวมถึงสิทธิการเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยวัยเกษียณ หรือ Retirement Complex หลังพบว่า ข้าราชการเกษียณบางส่วนเคยอยู่บ้านพักข้าราชการ และประสบปัญหาหนี้สินเกือบตลอดอายุราชการ เมื่อผ่อนชำระหนี้สินหมด ก็ไม่สามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้
ทั้งนี้ กบข.ขอเวลาศึกษาความเหมาะสม และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ก่อนชี้แจงทำความเข้าใจต่อสมาชิก แต่แนวทางดำเนินโครงการเบื้องต้น กบข.จะเป็นผู้ลงทุน หรืออาจหาพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการ Retirement Complex โดยสมาชิก กบข.ที่ต้องการรับสิทธิโครงการนี้ อาจต้องเพิ่มการจ่ายเงินสมทบส่วนเพิ่ม ซึ่งเป็นการจ่ายเงินออมภาคสมัครใจเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าเดือนละ 500 บาท เพื่อจองสิทธิในโครงการ
ทั้งนี้ กบข. ยังไม่กำหนดขนาดโครงการวงเงินลงทุน และพื้นที่เป้าหมาย เนื่องจากต้องการศึกษาความเหมาะสมต่อการใช้ชีวิตในวัยเกษียณของสมาชิกที่จะเข้าอยู่อย่างรอบคอบ คาดว่าจะสามารถสรุปผลการศึกษาโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปีนี้
ส่วนปัญหาความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุน นายทรงพล กล่าวว่า กบข.ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และได้ปรับพอร์ตการลงทุนให้รองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นแล้ว โดยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนสินทรัพย์หลากหลายประเภท ให้น้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในประเทศ ตลอดจนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์โภคภัณฑ์ โดยเฉพาะทองคำ และน้ำมัน ส่งผลให้ผลตอบแทนในช่วง 6 เดือนแรกของปี ขยายตัวร้อยละ 3 และมั่นใจว่าผลตอบแทนทั้งปีที่สมาชิกจะได้รับจะไม่ติดลบ และขยายตัวไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.46