แหงนคอรอคอยมานาน ในที่สุดก็สมหวัง เมื่อรัฐบาลก็ได้ฤกษ์เคาะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ล็อตแรกให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14.98 ล้านคน "ชัย วัชรงค์" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุม ครม. มีมติให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอวงเงิน 122,000 ล้านบาท ตั้งเป็น "งบกลาง" รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
สำหรับแหล่งเงินมาจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการเพิ่มเติม 10,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 112,000 ล้านบาท มาจาก 3 แหล่งเงิน คือ การบริหารงบประมาณ ปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท, การดำเนินการผ่านหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท และงบประมาณ ปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท
อ่านข่าว เห็นชอบงบกลางปี 67 เพิ่ม 1.22 แสนล้าน แจกดิจิทัลกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะต้องลงทะเบียนผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการให้ทันภายในปีงบประมาณ 2567 เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบฯ เพิ่มเติมปี 67 ได้ทันภายในวันที่ 30 กันยายน 2567 และสอดคล้องตาม ม.21 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ... นับจากนี้ต้องตามติดว่า รัฐบาลจะดีเดย์กำหนดวันเปย์รอบแรกให้กลุ่มเปราะบางได้เมื่อไหร่
"กู้ฉ่ำ กระเป๋าฉีก" ฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊ก Takorn Tantasith วิเคราะห์งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จะเข้าการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ระหว่างวันที่ 19-21 มิ.ย. ว่าดูเอกสารของสำนักงบประมาณ ปี 2568 เบื้องต้นแล้วขอตั้งฉายางบประมาณปี 2568 ว่า "กู้ฉ่ำ" มาจาก "กู้เกือบเต็มเพดาน" วงเงินกู้คิดเป็น 99.99 เปอร์เซ็นต์ ไล่เรียงตามลำดับคือ
1) วงเงินงบประมาณที่เสนอขอจัดตั้ง 3,752,700 ล้านบาท เป็นการเสนอตั้งงบประมาณแบบขาดดุล มีวงเงินที่ต้องขอกู้เพิ่ม 865,700 ล้านบาท
2) ประมาณการรายรับที่คาดการณ์ว่าจะจัดเก็บภาษีได้ จำนวน 2,887,000 ล้านบาท รวมกับเงินกู้อีกจำนวน 865,700 ล้านบาท รวมเสนอจัดตั้ง 3,752,000 ล้านบาท (ข่าวกระทรวงการคลัง แถลงเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา 7 เดือน รัฐจัดเก็บรายได้พลาดเป้าไป 39,102 ล้านบาท )
3) วงเงินที่ขอกู้จากเดิมปี 2567 ขอกู้ 693,000 ล้านบาท เป็นขอกู้ในปี 2568 จำนวน 865,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขอกู้เกือบเต็มกรอบวงเงิน ตามเงื่อนไข พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 ขาดไป 40 ล้านบาท (กรอบวงเงินสูงสุดที่ขอกู้ได้ 865,740 ล้านบาท )
ส่วนคำว่า "กระเป๋าฉีก" เป็นข้อสังเกตการใช้จัดสรรงบประมาณ คือ
1) งบกลาง รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรอง ไม่มีการจัดตั้งงบประมาณไว้เลย เพราะเหตุใด
2) งบกลาง มีการตั้งรายการอื่นมาทดแทน ชื่อ "ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐ์กิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ" จำนวน 152,700 ล้านบาท ตรงนี้คืองบประมาณดิจิทัลวอลเล็ตใช่หรือไม่ ?
3) งบประมาณในส่วนของสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แผนงานพื้นฐานความมั่นคง จากเดิมตั้งไว้ในปี 2567 จำนวน 3,384,190,100 บาท เสนอขอตั้งในปี 2568 จำนวน 6,226,024,700 บาท เพิ่มขึ้น 2,841,834,600 บาท เพิ่มมา 84% มีคำถามว่าเหตุใดจึงตั้งงบประมาณในแผนงานนี้ไว้มากมาย
4) แผนงานการบูรณาการการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีส่วนราชการจำนวนมากขอตั้งงบประมาณไว้ที่หน่วยงานตนเอง
"ฐากร" ยังตั้งคำถาม เหตุใดจึงไม่ตั้งงบประมาณไว้ที่หน่วยงานมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น ป.ป.ช. ป.ป.ท. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดีเอสไอ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการประหยัดและใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพกว่าหรือไม่
อ่านข่าว "แป้ง นาโหนด" ถึงไทย คุมตัวสอบ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช
5) งบฯ ของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ตั้งประมาณลดลง 62,388,931,500 บาท แล้วไปตั้งเพิ่มตรงให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้น 94,799,480,900 บาท (จากเดิมปี 2567 ตั้งงบให้ท้องถิ่น 100,838,313,400 บาท ปี 2568 ขอจัดตั้ง 95,637,794,300 บาท)
ถือว่าเป็นการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ควรกระจายลงสู่ท้องถิ่นให้มากกกว่านี้ เพราะยังมีการตั้งงบประมาณไว้ในกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในปี 2568 จำนวน 175,819,402,300 บาท
6) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ตั้งงบประมาณในการป้องกัน และปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ พนันออนไลน์ ที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชน และประเทศชาติ ตลอดจนนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเรื่องผลประโยชน์ของพนันออนไลน์ ไม่มีการตั้งงบประมาณไว้เลย
ตัวตรงไม่กลัวเงาเฉียง เท้าตรงไม่กลัวรองเท้าเบี้ยว เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ลงนามโดย ดร.นก "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง นโยบายไม่รับของขวัญและของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ (No Gift Policy) ประจำปี 2567
โดยระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีหน้าที่ดำเนินภารกิจในฐานะธนาคารกลางเพื่อดำรงไว้ ซึ่งเสถียรภาพและความยั่งยืนของระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงให้ความสำคัญ อย่างยิ่งต่อการรักษาความน่าเชื่อถือขององค์กร โดยผู้บริหารและพนักงานทุกระดับมุ่งเน้นที่จะปฏิบัติ หน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เป็นธรรม ภายใต้หลักการที่ถูกต้อง และการคำนึงถึงผลประโยชน์ ของประเทศเป็นสำคัญ
อ่านข่าว "วิษณุ" กลับเข้าทำเนียบ นั่งที่ปรึกษาของนายกฯ
ธปท. จึงขอประกาศเจตนารมณ์ว่า ผู้บริหารและพนักงานทุกคนใน ธปท. จะไม่รับของขวัญและของกำนัลทุกชนิดที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจในการปฏิบัติหน้าที่หรืออาจนำไปสู่การทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้ ธปท. เป็นองค์กรที่ทุกภาคส่วนเชื่อมั่นและศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และโปร่งใสอย่างที่เป็นมาตลอดไป จึงประกาศมาเพื่อทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน
ประกาศฉบับนี้ลงตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ยังน่าสนใจ จึงต้องนำมาเสนอเป็นข้อเตือนใจอีกครั้ง
เจอกระแสข่าวลือ รับตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แลกเปลี่ยนไตมาเกือบสัปดาห์ ช่วงสายวันนี้ (4 มิ.ย.) "ดร.วิษณุ เครืองาม" ออกมาให้สัมภาษณ์สยบข่าว หลังเข้าร่วมประชุม ครม.ว่า ไม่มี ผมไม่เปลี่ยนไต และเคยบอกกับแพทย์แล้ว ก็เห็นด้วยว่ายังไม่ควรเปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องกินยากดภูมิต้านทาน ถ้าภูมิต้านทานร่างกายลดจะมีโรคอื่นมาแทรก และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาไต ซึ่งตรงกับร่างกายของเรานั้นยาก
"ไม่ต้องการไตของลูก ทุกวันนี้ใช้ชีวิตได้ปกติสบายดี แต่อาจจะยุ่งเพราะต้องตื่นเช้าทุกวันอังคาร"
เป็นอันว่าดีลไต และเปลี่ยนตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ นั้นไม่มีอยู่จริง แต่ดีลที่ว่า ถูกขอร้องให้เป็นข้อต่อ หรือ "ตัวเชื่อม" และให้ช่วยดูเรื่องข้อกฎหมาย และเป็นบุคคลที่สามารถพูดคุยกับทุกฝ่ายได้ ถือเป็นบทบาทที่ไม่น่ามองข้าม
อวยไส้แตก "บิ๊กเอ็ม" สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข บอก ไม่รู้ว่าการตั้งดร.วิษณุ เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี จะสะท้อนถึงการสืบทอดอำนาจหรือไม่ แต่ ดร.วิษณุ เป็นปราชญ์ เป็นผู้รู้ ได้ทำงาน พบปะและรู้จัก มีการพูดคุยกันมาตลอด ไม่เคยให้ร้ายใคร ให้แต่องค์ความรู้ เป็นปราชญ์ ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหาย
สมศักดิ์ รัฐมนตรีตลอดกาล บอกอีกว่า นายกรัฐมนตรีเขาอัจฉริยะ เราได้ผู้รู้และผู้มีประสบการณ์แนะนำ รัฐบาลก็จะไปได้ดี ส่วนภาพลักษณ์แล้วแต่คนมอง ถ้าเรามองในเรื่องความปรองดอง มันจบเลย คนไม่อยากให้ปรองดองก็อาจจะมองดูว่า เป็นอย่างไรต้องยอมรับ ... ไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่มีที่ปรึกษา ส่วนหนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์เพราะไม่ได้รู้ซึ้งถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าฟังแล้วเข้าใจจะเป็นเรื่องบวกมาก ๆ ทำให้ทุกอย่างเดินไปได้ด้วยดี ในความถูกต้องและมั่นใจ"
...แต่ว่าผมว่าอาจารย์วิษณุเก่งที่สุด ก็หมายความว่า เก่งที่สุดแล้ว ผู้อื่นเขาก็รู้แบบในเรื่องประสบการณ์ ท่านดีที่สุด สมศักดิ์ ว่าซ่านนน