วันนี้ (19 ก.ค.2567) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.ตร.) แถลงความคืบหน้าคดีขโมยเรือบรรทุกน้ำมันของกลาง ว่า เมื่อวานนี้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ปฏิบัติการค้นเป้าหมาย 13 กว่าจุด ซึ่งหลักฐานมีความชัดเจน แต่ยังไม่ขอเปิดเผย โดยเตรียมออกหมายแดงของตำรวจสากล เพื่อติดตามตัวนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ปัตตานี มาดำเนินคดี
ขอให้มามอบตัว มาสู้คดี ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ถ้าคิดว่าตัวเองทำถูกและถูกกลั่นแกล้ง
พล.ต.อ.ไกรบุญ กล่าวว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีเรือหายไป ตนเองจะดำเนินคดีทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน
ตั้งแต่จับกุมเรือน้ำมันมาในครั้งแรกมีทุกส่วนราชการเข้ามาพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ บางส่วนทำเร็ว บางส่วนตอบรับช้าจนเรือหายก็มี
ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม กล่าวว่า กรณีตำรวจน้ำ และกองบังคับการปราบปราม จับกุมเรือ 5 ลำ และตรวจยึดน้ำมันดีเซล 3.2 แสนลิตร ซึ่งเรือของกลางถูกเก็บไว้ที่ท่าเรือตำรวจน้ำสัตหีบ ต่อมาเรือจำนวน 3 ลำได้หายไป
การสืบสวนทราบว่ามีผู้เกี่ยวข้อง 15 คน ในจำนวนนี้เป็นลูกเรือ 14 คน และอีก 1 คน เป็นคนนอก โดยออกหมายจับทั้งหมดแล้ว และจับกุมผู้ต้องหาเป็นลูกเรือ 8 คน และยึดเรือ 3 ลำมาดำเนินคดี
การขยายผลการสืบสวนสอบสวน พบว่า ต้นเดือน พ.ค.2567 มีกลุ่มผู้ต้องหาบางราย คือ นายสมเกียรติ และนายสำเริง นัดหมายไต้ก๋งเรือทั้ง 3 ลำไปพบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง อ.สัตหีบ โดยนำวิทยุสื่อสาร พร้อมเครื่องนำในการเดินเรือ หรือจีพีเอส 3 ชุด มอบให้ไต้ก๋งเรือ เพื่อเตรียมการหลบหนี จนกระทั่งวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีคลื่นลมแรงบริเวณสัตหีบ และวันที่ 11 มิ.ย.2567 พบเส้นทางการติดต่อสื่อสาร และเส้นเงินของกลุ่มนายสหชัย กระทั่งเวลา 20.00 น. เรือทั้ง 3 ลำเคลื่อนตัวจากจุดจอดและหลบหนี
ทั้งนี้ นายสหชัย, นายสมเกียรติ หรือเสี่ยเล็ก, นายสำเริง และพนักงานของสำนักงานนายสหชัย ที่ จ.ปัตตานี ร่วมวางแผนนำเรือหลบหนี โดยพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขอศาลออกหมายจับนายสหชัย นายสำเริง และนายสมเกียรติ ส่วนอีก 3 คนนั้น พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแล้ว 2 คน อีก 1 คนหนึ่งเป็นผู้หญิงชื่อ เจ๊เล็ก เดินทางออกไปต่างประเทศ และยังไม่กลับเข้าไทย
พฤติการนายสมเกียรติ เป็นคนทำงานแทนเสี่ยโจ้
เมื่อวานนี้ (18 ก.ค.) ตำรวจได้ขอศาลออกหมายตรวจค้นเพื่อจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าว และรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 13 จุด ใน จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร จ.สงขลา จ.ปัตตานี โดยเป็นที่อยู่ของกลุ่มผู้ต้องหา และผู้ถูกกล่าวหาที่เตรียมออกหมายเรียก รวมทั้งอู่ต่อเรือและจุดที่พบเส้นเงินที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบหลักฐานบ่งชี้ว่านายสหชัย กับพวก สั่งการให้นำเรือหลบหนี
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มผู้ต้องหายังหลบหนีอยู่ในแถบอาเซียนหรือไม่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง กล่าวว่า น่าจะอยู่โซนนี้ และอยู่ด้วยกัน
พล.ต.ท.จิรภพ จากการสืบสวนสอบสวน ซักถาม และพยานหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด ยังไม่พบข้อมูลไปถึงเจ้าหน้าที่ แต่หากพบเกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งเรือทั้ง 3 ลำที่หายไป เป็นของนายสหชัย ส่วนของกลางอีก 2 ลำเป็นของนายหนุ่ม ซึ่งระบุว่าป่วยโควิด และขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวน
คดีเรือหาย 3 ลำ คาดว่าจะส่งสำนวนสอบสวนได้ภายในสัปดาห์หน้า โดยล่าสุดกรมศุลกากร ประเมินราคาน้ำมันที่หายไปอยู่ที่ 9 ล้านบาท ส่วนค่าปรับกรณีจับกุมน้ำมันเถื่อนครั้งแรก 5 ลำ อยู่ที่ 36 ล้านบาท โดยจะเอาผิดทั้งขบวนการตั้งแต่ผู้สั่งการถึงลูกเรือ