ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ผบ.ตร.อ้างหลักฐานดีเอ็นเอคดีเกาะเต่าไม่หาย พงส.ไม่ได้เก็บ-อยากได้ต้องร้องให้ศาลสั่ง

อาชญากรรม
10 ก.ค. 58
07:11
156
Logo Thai PBS
ผบ.ตร.อ้างหลักฐานดีเอ็นเอคดีเกาะเต่าไม่หาย พงส.ไม่ได้เก็บ-อยากได้ต้องร้องให้ศาลสั่ง

ผบ.ตร.โต้กรณีสื่อต่างชาติระบุหลักฐานดีเอ็นเอคดีเกาะเต่าหาย อ้างพนักงานสอบสวนมีผลจากนิติเวชมาประกอบสำนวนแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าตัวหลักฐานอยู่ที่ไหน ถ้าทนายจำเลยอยากได้ให้ยื่นขอให้ศาลสั่งเอง และหลักฐานคดีไม่ใช่มีแต่ดีเอ็นเอ มีพยานแวดล้อมด้วย

วันนี้ (10 ก.ค.2558) สำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซี รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบการสอบสวนในช่วงแรกของคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 คนบนเกาะเต่า ยืนยันว่าขณะนี้ไม่มีดีเอ็นเอต้นฉบับ เพราะหายไปแล้ว ซึ่งหลักฐานดังกล่าวรวมถึงเส้นผมที่อยู่ในมือศพ น.ส.ฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ ด้วย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2557 นายเดวิด มิลเลอร์ อายุ 24 ปี และ น.ส. ฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ อายุ 23 ปี นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ถูกพบเป็นศพที่บริเวณชายหาดเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ต่อมาตำรวจได้จับกุมตัวนายซอลิน และนายไว เพียว แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาที่ทำงานบนเกาะเต่า พร้อมแจ้งข้อหาฆ่าคนตาย โดยยืนยันว่าหลักฐานดีเอ็นเอที่พบบนศพและก้นบุหรี่ ตรงกับของจำเลยทั้ง 2 คน ซึ่ง พ.ต.ท.สมศักดิ์ หนูรอด สถานีตำรวจภูธรเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี ที่เข้าให้การต่อศาลเมื่อวานนี้ (9 ก.ค.2558) ระบุว่าหลักฐานดังกล่าวหายไป

ขณะที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนต่างชาติ เพราะจากการสอบถามผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ระบุว่า พนักงานสอบสวนส่งดีเอ็นเอทั้งหมดที่เก็บได้ในวันเกิดเหตุให้สถาบันนิติเวชและพิสูจน์หลักฐานกลางตรวจสอบทั้งหมดแล้ว และได้นำผลการตรวจส่งให้พนักงานสอบสวนนำเข้าไปประกอบสำนวน เพื่อใช้เป็นหลักฐานสู้คดีในชั้นศาล ยืนยันว่าผลตรวจดีเอ็นเอไม่ได้หาย

ส่วนที่ทนายความร้องขอหลักฐานผลตรวจดีเอ็นเอระหว่างนำสืบพยานในชั้นศาล แล้วพนักงานสอบสวนแถลงต่อศาลว่า ไม่ได้เก็บหลักฐานดังกล่าวไว้ พล.ต.อ.สมยศระบุว่า พนักงานสอบสวนจะต่อแถลงกับศาลเช่นนั้นอยู่แล้ว เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่มีหน้าที่เก็บหลักฐานไว้ มีเพียงผลตรวจที่ได้รับจากสถาบันนิติเวช เพื่อนำมาประกอบสำนวนเท่านั้น แต่หากทนายความต้องการผลตรวจดีเอ็นเอทั้งหมด ก็จะต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณาคำร้องและสั่งให้ตำรวจดำเนินการ

"หลักฐานการต่อสู้คดีไม่ได้มีเพียงดีเอ็นเอเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยพยานแวดล้อม รวมทั้งหลักฐานอื่นๆ ในที่เกิดเหตุ ที่จะนำมาประกอบสำนวนต่อสู้ในชั้นศาล"


ข่าวที่เกี่ยวข้อง