วันนี้ (8 ต.ค.2567) ผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์กับตำรวจกองปราบปราม ให้ตรวจสอบแพทย์ศัลยกรรมเสริมความงาม ในคลินิกแห่งหนึ่งย่านสยาม ภายหลังเข้าใช้บริการ แต่ถูกบังคับให้ฉีดฟิลเลอร์ บริเวณจุดที่ไม่ได้ต้องการจะทำ
หนึ่งในผู้เสียหาย ระบุเข้าไปปรึกษากับแพทย์ในคลินิกเท่านั้น แต่ถูกชักจูงให้เข้าไปฉีดทันที โดยฉีดบริเวณใต้ตาตั้งงบไว้ประมาณ 30,000 บาท แต่เมื่อฉีดเสร็จ แพทย์ให้ฉีดเพิ่มตรงคางอีกจุดทั้งที่ไม่ได้เป็นปัญหาในส่วนนั้น และคิดค่าบริการเพิ่มอีก 10,000 บาท
รวมฉีดเพิ่มอีกหลายจุดต้องจ่ายเงินทั้งหมดกว่า 90,000 บาท จึงคิดว่าตัวเองถูกยัดเยียดให้ทำศัลยกรรม และไม่ได้เป็นการตกลงทั้งสองฝ่าย มองว่าไม่เป็นธรรมในฐานะผู้บริโภค
ผู้เสียหายจากการทำศัลยกรรม จนใบหน้าเสียหาย เข้าร้องกองปราบ
อ้างหมอบังคับฉีดฟิลเลอร์-หน้าพัง
ส่วนผู้เสียหายอีกคน มาพร้อมลูกสาว เล่าว่า แม่ไปฉีดฟิลเลอร์ที่คลินิกเดียวกัน โดยแพทย์แนะนำให้ฉีดมากกว่า 20 ซีซี เนื่องจากแม่อายุมาก แต่เนื่องจากเงินไม่พอ จึงฉีดแค่ประมาณ 10 ซีซี และจะแถมเป็นฟิลเลอร์เกาหลี แต่ระหว่างทำแพทย์ก็ไม่ได้เปิดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า จึงไม่ทราบว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องหรือไม่ และแพทย์คนนี้ก็ปรึกษากับผู้ช่วยตลอดแพทย์ จนทำให้สงสัยว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่
หลังฉีดฟิลเลอร์ แม่มีอาการหน้าบวม และไม่ยุบมานานกว่า 1 ปีแล้ว เมื่อติดต่อกลับไปทางคลินิก แพทย์กลับบอกว่าเป็นเพราะหน้าแม่ไม่เท่ากันอยู่แล้ว และต้องฉีดเพิ่มอีก ทำให้แม่เครียดมาก ไม่รู้จะไปรักษาหน้าที่ไหน ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอด จนไม่กล้าออกไปพบผู้คน
ผู้เสียหายทั้งหมดยืนยันว่าแพทย์ที่ฉีดฟิลเลอร์ให้เป็นแพทย์คนเดียวกับที่ทันตแพทย์หญิงเข้าแจ้งความไปก่อนหน้านี้ และหลงเชื่อเพราะการโฆษณาอวดอ้างว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังอันดับ 1 ของเมืองไทย
กำชับสบส.ตรวจสอบคลินิก
นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สธ.และตำรวจสอบสวนกลาง ลงพื้นที่ตรวจค้นคลินิกดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นพบว่าแพทย์ที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้นกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จึงได้ดำเนินคดีข้อหาไม่ขออนุญาตโฆษณา และโฆษณาโอ้อวด ซึ่งมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และนำส่งแพทยสภาดำเนินการ
ส่วนคดีอาญาที่ผู้เสียหายไปร้องพนักงานสอบสวนก็จะรวบรวมพยานหลักฐานและแจ้งข้อหาตามกระบวนการ ส่วนการตรวจสอบตัวยาที่ใช้ในคลินิก และการจดทะเบียน ขอใบอนุญาตต่างๆ ของคลินิก ยังไม่พบการกระทำความผิด