วันนี้ (26 พ.ย.2567) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมากล่าวผ่านแอปพลิเคชัน ทรูธโซเชียล ระบุว่า เตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากเม็กซิโกและแคนาดาร้อยละ 25 ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการตอบโต้ทั้งสองประเทศที่ปล่อยให้ผู้อพยพผิดกฎหมายหลายพันคนหลั่งไหลเข้ามาในพรมแดนสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดในระดับที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน พร้อมทั้งระบุว่า เขาจะคงมาตรการนี้ไว้จนกว่าทั้งสองประเทศจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
ท่าทีล่าสุดของทรัมป์สร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองชาติ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าเข้าสู่สหรัฐฯ จำนวนมาก โดยเม็กซิโกมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 83 จากปริมาณการส่งออกทั้งหมด เช่นเดียวกับแคนาดาที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าเข้าสู่สหรัฐฯ อยู่ที่ร้อยละ 75
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยลงนามในความตกลงยูเอสเอ็มซีเอ ซึ่งเป็นความตกลงเกี่ยวกับการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา ที่ทำให้มีการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันในหลายด้าน และเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2020 โดยการตัดสินใจล่าสุดอาจส่งผลกระทบต่อข้อตกลงดังกล่าวที่เคยทำไว้ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังได้กล่าวถึงจีนด้วยว่า เขาได้เคยพูดคุยกับผู้แทนของจีนหลายครั้งเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะยาเฟนทานิลที่ทะลักเข้ามาในสหรัฐฯ ซึ่งจีนเคยให้คำสัญญาไว้ว่าจะลงโทษต่อผู้ค้ายาเสพติดอย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่ได้ทำตามคำสัญญาที่ให้เอาไว้ จึงตัดสินใจเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากจีนเพิ่มอีกร้อยละ 10 เพื่อเป็นการตอบโต้ปัญหาดังกล่าวเช่นกัน
ด้านโฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อท่าทีล่าสุดของทรัมป์ โดยระบุว่า ทางการจีนได้มีการพูดคุยกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการต่อต้านยาเสพติดมาโดยตลอด และความคิดที่ว่าจีนจงใจยอมให้เฟนทานิลไหลทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ นั้น ถือว่าขัดแย้งกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง พร้อมทั้งระบุว่า จะไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามการค้านี้
อ่านข่าว : "สมรักษ์ คำสิงห์ ป่วยเส้นเลือดสมองตีบเข้า ICU แพทย์ดูแลใกล้ชิด