ทำเอาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ต้องออกโรงมาเคลียร์บนหน้าสื่อพัลวัน เพราะมีการเปิดรายชื่อรัฐมนตรีที่ลาประชุมครม.วันนั้น เบื้องต้นมี 7 คน รวมทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย กับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ ก่อนที่นายอนุทินซึ่งไปพบหมอ จะถูกโทรตามและกลับเข้าร่วมประชุมครม. แต่ยังมีรัฐมนตรีลูกพรรค ทั้ง 2 พรรค ลาประชุมอีกหลายคน
รวมทั้งที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ใบลา คือ รัฐมนตรี 2 คน จากพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค และนายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค จึงกลายเป็น 3 พรรคใหญ่ลาบ้าง โดดบ้างพร้อมกันถึง 6-7 คน
ทำเอา “นายใหญ่” บ้านจันทร์ส่องหล้า ของขึ้น โดยอ้าง มีร่าง พ.ร.ก. มาตรการทางภาษีระหว่างประเทศเข้าสู่ที่ประชุมครม. 2 ฉบับ ซึ่งเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล และเป็นพันธะสัญญาสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเข้าร่วมเป็นสมาชิก
จึงอาจมีบางคนหรือบางพรรค ไม่เห็นด้วยในสาระหรือไม่เห็นด้วยกับการออกเป็น พ.ร.ก. แทนที่จะเป็น พ.ร.บ. ผ่านขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภาป้องกันข้อครหา หรืออาจไม่ทราบว่ามีวาระดังกล่าว เพราะเสนอเป็นวาระลับ แต่ถ้าฟังจากคำพูดที่ซัดใส่พรรคร่วมรัฐบาลของนายทักษิณ แสดงว่า ไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะอยากเห็นรัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็ว
ที่เป็นประเด็นสำคัญ คือคำพูดขู่พรรคร่วมของนายทักษิณ ถูกตั้งคำถามและนำไปสู่เสียงวิพากษ์หนักแบบทัวร์ลงต่อเนื่อง คือ พูดในฐานะอะไร เพราะไม่ได้มีตำแหน่งในรัฐบาลชุดนี้ และในพรรคเพื่อไทย มีสถานะเป็นเพียงวิทยากร กับประเด็น “พูดเกินเบอร์” อย่างที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำ นปช. และนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ วีระบุรุษประชาธิปไตยในอดีต วิพากษ์ใส่แบบจัดหนักจัดเต็ม ถึงขั้นถามว่า “พ่อนายกเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรไล่พรรคร่วมที่ไม่เข้าประชุม ครม.”
รวมถึงกูรูและนักวิชาการอีกหลายคน ที่ซัดใส่แบบไม่อ้อมค้อมว่า เป็นการแสดงอำนาจบารมีของนายทักษิณว่าอยู่เหนือพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เกรงกลัวใคร หลังคำร้องของนายธีรยุทธ์ สุวรรณเกสร ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตก ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย
ทั้งถูกตั้งตำถามถึงความเป็นเอกภาพของรัฐบาลในปัจจุบัน อย่าง นายสุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำฯ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่โพสต์ดุเดือดว่า อาการโกรธแค้นขู่คำรามพรรคร่วมรัฐบาล
สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ไม่มีความเป็นเอกภาพ ชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบทางการเมืองกันตลอดเวลา ทั้งที่การผูกขาดและบริบททางการเมืองขณะนี้ แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อก่อน และลึกซึ้งเกินกว่านายทักษิณจะทุบโต๊ะด้วยตัวเองตามลำพังอีกแล้ว
สอดคล้องกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทินเป็นหัวหน้าพรรค ได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทยหลายเรื่อง อาทิ บ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย เรื่องแก้รัฐธรรมนูญตัดปมจริยธรรมนักการเมือง ปฏิเสธไม่ได้ร่วมวงกินบะหมี่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า และชอบอีกยี่ห้ออื่นมากกว่า กระทั่งต่อมาโดยแซะเรื่อง “ชิงหล่อก่อน”
ล่าสุด แม้นายอนุทินจะพูดอย่างมั่นใจว่า พรรคอีแอบที่นายทักษิณพูดถึง ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทยแน่นอน แต่ไม่วายบอกว่า “คำพูดของอดีตนายกฯ ตนก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก”
ปกติพรรคภูมิใจไทย รับสัญญาณจากนายกฯ น.ส.แพทองธาร ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลอยู่แล้ว นัยคล้ายนายกฯ ที่สั่งการพรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลได้มีคนเดียว
จึงเป็นพรรคการเมืองที่นายทวิสัณฑ์ โลณานุรักษ์ นักวิชาการอิสระ ฟันธงว่า เป็นพรรคที่นายทักษิณส่อความหมายถึง เพราะแสดงท่าทีและคำพูดชัดเจนหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีสัมพันธภาพเชื่อมโยงถึงวุฒิสภา ส่งผลต่ออำนาจเจรจาต่อรองทางการเมือง
ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็ถูกว่า เป็นดีเอ็นเอของแท้จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และในช่วงหลังๆ คะแนนนิยมจากเรื่องตรึงราคาค่าไฟฟ้า และราคาน้ำมัน เพิ่มให้ทั้งตัวบุคคลและคะแนนนิยมพรรค
ล่าสุด สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจกระทรวงด้านเศรษฐกิจที่ประชาชนพึงพอใจมากที่สุด เป็นของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ได้ 7.35 จาก 10 คะแนน ส่วนด้านสังคม กระทรวงมหาดไทย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้คะแนนสูงสุด 7.52 จากเต็ม 10 คะแนน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายทักษิณจะผุดไอเดีย ตั้งทีมเฉพาะกิจปราบผู้มีอิทธิพลและยาเสพติด เล็งให้นายกฯ แพทองธาร เป็นหัวหน้าชุดคุมทีม เป็นการเกทับพรรคภูมิใจไทย ที่เคยให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ เมื่อครั้งเป็น รมช.มหาดไทย จัดระเบียบและทำลิสต์รายชื่อผู้มีอิทธิพล แต่สุดท้ายเงียบไปเฉยๆ
ขณะเดียวกัน ก็ดำริจะหาแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงทั้งระบบ ให้เหลือราคาไม่เกินหน่วยละ 3 บาทกลางๆ ต่ำกว่าที่กระทรวงพลังงาน ในกำกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่พยายามตรึงราคาค่าไฟฟ้าสำหรับคนระดับฐานล่างไว้ที่หน่วยละ 3.99 บาท
สงครามความไม่ไว้วางใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ความจริงเริ่มต้นขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว และจากนี้ หลังมีคำพูดกึ่งขู่กึ่งไล่ตะเพิด ชนิดไม่เห็นหัวพรรคร่วมรัฐบาล จะยิ่งเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : รวบ 2 ชาวต่างชาติคาสนามบิน ซุกเฮโรอีน 21.8 กก.