ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"สึนามิ" 20 ปี บาดแผลแห่งการสูญเสีย ความทรงจำที่ไม่เคยลืม

สังคม
26 ธ.ค. 67
09:01
2,712
Logo Thai PBS
"สึนามิ" 20 ปี บาดแผลแห่งการสูญเสีย ความทรงจำที่ไม่เคยลืม
ย้อนกลับไป 20 ปีก่อน เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 กับเหตุการณ์ "สึนามิ" ที่ซัดถล่มชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และภาคใต้ฝั่งอันดามันของไทย โดยเฉพาะใน จ.ภูเก็ต พังงา และ กระบี่ ที่สร้างความเสียหายเป็นจำนวนมากทั้งชีวิต และทรัพย์สิน

แม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้ว ร่องรอยบาดแผลจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถลืมได้ ความสูญเสียครั้งใหญ่ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของผู้คนในพื้นที่

อ่านข่าว : ย้อนเหตุ 20 ปี "สึนามิ" ถล่ม 6 จังหวัดอันดามัน

ในช่วงสายวันอาทิตย์วันนั้น "เบญ" น.ส.เบญจะมาภรณ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ในวัย 16 ปี ณ ขณะนั้น วุ่นอยู่กับการช่วยพ่อและแม่วางเตียงผ้าใบริมชายหาดกะรน จ.ภูเก็ต เพื่อเตรียมพร้อมให้บริการนักท่องเที่ยว

เบญ เล่าว่า น้ำทะเลลงไปไกล ซึ่งมันไม่ใช่น้ำขึ้นน้ำลงตามปกติ แต่ทุกคนที่อยู่บริเวณชายหาดก็ยังคงทำงานกันตามปกติ

ภายในเวลาไม่นานนักน้ำทะเลกลับขึ้นมาอย่างผิดปกติและเริ่มท่วมคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอกๆ 3-4 ครั้ง เบญถูกคลื่นพัดลงไปกลางทะเล และก็พากลับขึ้นมาเมื่อคลื่นมากระทบฝั่ง โดยที่ไม่รู้ตัวว่าลงไปตอนไหน

เหมือนเหตุการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ท่ามกลางความสงบเพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง ชาวบ้านใช้เวลานั้นเก็บข้าวของที่ลอยกระจัดกระจายตามชายหาด และไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของภัยธรรมชาติที่รุนแรงเหตุการณ์นั้นคือ "สึนามิ"

น้ำเริ่มลดลงอีกครั้ง ก่อนที่จะเกิดคลื่นยักษ์ที่มีความสูงมากๆ พัดเข้าหาชายฝั่งอย่างไม่ตั้งตัว ความชุลมุนเกิดขึ้นทันทีที่คลื่นอัดเข้ามา ผู้คนต่างวิ่งหนีและกรีดร้องด้วยความตกใจ ต่างคนต่างวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ท่ามกลางความสับสนกับเหตุการณ์ เบญพลัดหลงจากพ่อ แม่ และพี่สาวในช่วงเวลานั้น

เบญจะมาภรณ์ ณ ตะกั่วทุ่ง

เบญจะมาภรณ์ ณ ตะกั่วทุ่ง

เบญจะมาภรณ์ ณ ตะกั่วทุ่ง

เบญวิ่งเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ส่วนพี่สาวก็กอดเสาไม้ขนาดใหญ่หน้าร้านไว้ ณ ตอนนั้นได้ยินเสียงน้ำที่กระแทกกับตัวร้าน กระจกแตกกระจาย

เมื่อคลื่นได้ผ่านพ้นไปและสถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่สิ่งที่เห็นต่อหน้ากลับเป็นภาพข้าวของต่างๆ โต๊ะ เก้าอี้ เตียงผ้าใบ และสิ่งของอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยโคลนและทรายที่ท่วมทับ

เบญเริ่มออกตามหาพ่อแม่ด้วยความหวังว่าทุกคนจะยังปลอดภัย ไม่นานก็เจอกับแม่ที่ปลอดภัยกำลังพาพ่อใส่รถ 3 ล้อ เดินออกมาจากชายหาด พ่อนอนไม่ได้สติ ด้วยความที่เป็นเด็กคิดว่าพ่อจมน้ำเลยพยายามปั๊มหัวใจและผายปอด ตามที่ได้เรียนมา เอาหูแนบฟังที่หัวใจพ่อก็ไม่ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ บาดแผลขนาดใหญ่ที่แขนพ่อและเลือดที่ไหลตลอดเวลา เบญใช้ผ้าห้ามเลือดก่อนจะนำรถส่งโรงพยาบาล

ด้วยจำนวนคนเจ็บที่มาก เจ้าหน้าที่จึงให้ญาติไปกับคนเจ็บได้เพียงคนเดียว เบญเลยตัดสินใจให้แม่ไปกับพ่อ และตัวเองก็เดินเท้าไปตามถนนเพื่อไปโรงพยาบาล โชคดีที่มีรถที่จะตัวเมืองพอดี เบญเลยได้ติดรถไป

ชีวิตของผู้คนในเมืองภูเก็ตดูปกติทุกอย่าง แต่เบญกลับรู้สึกเป็นตัวแปลก ในสายตาคนอื่น เนื่องจากเนื้อตัวที่เปียกปอน เต็มไปด้วยโคลนและไม่ได้ใส่รองเท้า

มันเหมือนฝันร้ายที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจะเปลี่ยนชีวิตของเบญไปตลอดกาล เมื่อพ่อได้จากไปโดยที่ไม่ได้ร่ำลา

แม่ที่กลายเป็นเสาหลักของบ้านมีบทบาทสำคัญในการช่วยฟื้นฟูจิตใจ แม่พาผมไปวัด ทำบุญบ่อยๆ ฟังพระเทศน์ ทำให้เข้าใจว่าเราไม่สามารถดึงสิ่งที่จากเราไปแล้วกลับมาได้ แต่เราต้องเป็นคนปล่อยไปเอง

เบญยังรู้สึกกลัวทุกครั้งที่เห็นทะเล แต่ด้วยความที่อยู่กับทะเลมาตั้งแต่เด็ก เบญจึงสามารถปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความกลัวนี้ได้

แม้จะกลัวทะเล แต่ก็พยายามเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง โดยลองทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับน้ำทะเล เช่น ดำน้ำ การเล่นเซิร์ฟ ซึ่งเบญพบว่าไม่ได้กลัวน้ำทะเล แต่สิ่งที่กลัวคือเกลียวคลื่น

แม้เวลาจะผ่านไป 20 ปี แต่ความรู้สึกที่ยังคงฝังลึกในใจ โดยเมื่อผ่านจุดที่พบพ่อครั้งสุดท้าย ทำให้คิดว่าทำไมถึงช่วยพ่อไม่ได้ แต่พยายามบอกตัวเองว่า ไม่มีใครเลือกได้ ณ สถานการณ์ขณะนั้น

แม้จะเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน แต่เบญยังคงพยายามปล่อยวางและเรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต อยู่กับปัจจุบันและก้าวต่อไปข้างหน้า

คนที่จากไปเขาก็ไม่ได้อยากไป แต่คนที่ยังอยู่ก็ต้องอยู่ต่อให้ได้

อ่านข่าว : นทีสีคราม มหันตภัย "สึนามิ" โหดร้ายเกินมนุษย์จะคาดเดา

เบญกล่าวทิ้งท้ายว่าชาวบ้านในพื้นที่และผู้ที่เคยประสบเหตุการณ์สึนามิ ยังคงไม่มีความมั่นใจในระบบเตือนภัยปัจจุบันไม่มีการซ้อมแผนการหลบภัยอย่างเป็นทางการ ซึ่งต่างจากช่วงแรกๆ ที่มีการซ้อมเตือนภัย รวมถึงป้ายบอกทางสึนามิที่เริ่มชำรุด

อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาทบทวนและให้ความสนใจกับการปรับปรุงระบบเตือนภัย และจัดให้มีการซ้อมแผนการหลบภัย เพื่อให้ชุมชนมีความมั่นใจและมีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นสึนามิหรือภัยธรรมชาติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในอนาคต

อ่านข่าว : 20 ปีผ่านไป พร้อมรับมือแค่ไหน ? ถ้าเกิด "สึนามิ" อีกครั้ง

เรวัติ ยศธรรมกุล

เรวัติ ยศธรรมกุล

เรวัติ ยศธรรมกุล

เรวัติ ยศธรรมกุล หรือ "น้อง" เพิ่งเริ่มทำงานได้ 4-5 เดือนหลังจากเรียนจบ เล่าว่าเช้าวันนั้นทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ เช่นเดียวกับ น้องที่ยังประจำออฟฟิศของบริษัททัวร์ดำน้ำที่บางเนียง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ที่ห่างจากชาวหาดไม่มากนักประมาณ 400-500 เมตร

โดยรับรู้ข่าวสารเพียงว่า เมื่อเช้าวันนี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย จากคำบอกเล่าของไกด์รุ่นพี่

สังเกตเห็นหน้าร้านมีผู้คนเริ่มวิ่งขึ้นมาจากทางชายหาดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่ละคนดูลุกลี้ลุกลน ราวกับว่ากำลังหนีภัยบางอย่างมา

ฝรั่งหนุ่มคนหนึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าร้านแห่งหนึ่ง ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตกใจว่า "There was an earthquake this morning. The waves are coming" หรือ "เกิดแผ่นดินไหวเมื่อเช้านี้ และตอนนี้คลื่นกำลังมา"

แม้ว่าน้องไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน คิดแค่ว่าน้ำทะเลขึ้น แต่น้องก็รีบขนของมีค่าในสำนักงานไปเก็บไว้ชั้นสอง พร้อมตะโกนให้ "แอ๊ะ" เพื่อนร่วมงานอีกคนได้รู้ตัว

ไม่นานหลังจากนั้น ภาพที่เห็นเป็นคลื่นยักษ์ พัดรถโม่ปูนซิเมนต์พลิกตะแคง ต้นมะพร้าวหลายต้นล้มระเนระนาด ก่อนพัดพาซากต้นไม้ รถโม่เข้ามาใกล้

น้องและแอ๊ะตัดสินใจพากันวิ่งหนีไปยังถนนเพื่อหนีจากคลื่นที่กำลังเข้าใกล้เข้ามา แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นระหว่างทางกลับเป็นภาพรถยนต์ที่ขับหลบหนีคลื่นเช่นกันชนกันระนาวอย่างไม่คาดคิด และบางคนที่วิ่งหนีคลื่นกลางถนนก็ถูกชนจนล้ม

เวลาทั้งหมดที่มี ณ ตอนนี้คือวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหาทางรอด และไม่มีทางเลือกอื่นใด

เด็กหญิงต่างชาติวัย 7-8 ขวบ และชายวัยกลางคนถูกน้ำซัดกลิ้งลงไปในคลื่นยักษ์ไปต่อหน้า ไม่ได้มีแค่สองคนนี้เท่านั้น ยังมีผู้คนอีกหลายคนที่ถูกพัดไปกับคลื่น จนไม่สามารถระบุตำแหน่งหรือทิศทางของเสียงร้อง
รถยนต์หลากหลายชนิด ท่อนไม้ลอยปะปนกับน้ำสีดำคล้ำที่เหมือนน้ำในนรก ตามจินตนาการตอนนั้น

ชายหญิงสูงวัย 2 คน สวมชุดนอนของโรงแรม ยืนกอดกันหลับตา แม้น้องจะพยายามตะโกนให้ทั้งคู่รีบวิ่งหนี แต่ดูเหมือนจะไม่มีการตอบสนองใดๆ
ทันทีที่วิ่งผ่านไปได้อึดใจเดียว ได้ยินเสียงน้ำที่กระทบสิ่งของอะไรบางอย่าง แม้จะไม่ได้หันหลังไปมอง แต่ทำให้รับรู้ได้ว่า 2 ถูกกระแสน้ำกลืนกินแล้ว

ทันที่ที่น้องพาแอ๊ะวิ่งไปบนเนินสูง ได้เห็นเส้นแบ่งระหว่างภาพเหตุการณ์ปกติที่น้ำไปไม่ถึง กับอีกฝั่งที่ทุกอย่างพังทลาย เหมือนสวรรค์กับนรก มองไปยังทะเลไกลๆ น้ำสีฟ้า คลื่นสงบ

อีกฝั่งอากาศที่ปกติมาก ราวกับว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์อะไรมาก่อน เหมือนอยู่คนละโลก

อ่านข่าว : 20 ปี เหตุ "สึนามิ" ศพผู้เสียชีวิตยังไร้ญาติ

บ่ายคล้อยแล้ว น้องตัดสินใจลงมาข้างล่าง เพื่อมาเตรียมเสบียงและจะกลับขึ้นไปยังน้ำตกโตนช่องฟ้า เพราะยังไม่วางใจว่าจะเกิดคลื่นยักษ์ซ้ำอีก

ต้นมะขามที่เคยอยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว คนนอนจมโคลน ท่อนไม้ อิฐปูนทับด้านบน ผ่านกี่คน พยายามที่จะร้องเรียก แต่ไร้ซึ่งเสียตอบรับใดๆ บ้านแต่ละหลัง กลายเป็นซากที่เต็มไปด้วยโคลน บางหลังเหลือเพียงเสาบ้าน ออฟฟิศที่เป็น 2 ชั้น ชั้นล่างกลับถูกน้ำซัดเหลือเพียงเสา

หลังเหตุการณ์คลื่นยักษ์ ที่มารู้ทีหลังว่าคือ "สึนามิ" ความรู้สึกน้องคงไม่ต่างอะไรกับเบญที่รู้สึกถึงความจมดิ่ง หดหู่ ไม่อยากรับรู้ข่าวสารเหตุการณ์นี้

"ทุกครั้งที่ปิดตานอนภาพเด็ก คนที่เราพยายามจะปลุกให้ตื่น ผุดขึ้นมาตลอด และใช้เวลาสักพักกว่าจะนอนหลับใช้เวลากว่าครึ่งเดือนภาพนั้นจึงจะจางหายไป"

ทุกครั้งเมื่อนึกถือเหตุการณ์สึนามิ น้องมักจะย้อนกลับมามองตัวเอง "เรายังมีชีวิตอยู่" ทำให้รู้ว่าความตายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและไม่สามารถคาดเดาได้ ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่การประสบความสำเร็จ แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไปคือความสุขที่สุดแล้ว

ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่การประสบความสำเร็จ แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไปคือความสุขที่สุดแล้ว

และไม่เคยจะลืมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้วก็ตาม

 

 

อ่านข่าว :

อินโดนีเซีย เฝ้าระวังสึนามิซ้ำรอย 20 ปีก่อน

"สึนามิ" ฝันร้ายยากจะลืม แต่ก็ยังคิดถึงทะเลทุกวัน

เพราะ “ปาฏิหาริย์” ทำให้ยังมีลมหายใจจาก "สึนามิ"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง